มาตรา ๑ พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า “พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ พ.ศ. ๒๕๕๑”
Unofficial Translation
Section 1. This act is called the “Anti-Human Trafficking Act, B.E. 2551”.
กฎกระทรวง
กำหนดคุณสมบัติของผู้ที่จะได้รับการแต่งตั้งเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ พ.ศ. ๒๕๕๒
อาศัยอำนาจตามความในบทนิยาม คำว่า “พนักงานเจ้าหน้าที่” ในมาตรา ๔ และมาตรา ๕ แห่งพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ พ.ศ. ๒๕๕๑ อันเป็นกฎหมายที่มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล ซึ่งมาตรา ๒๙ ประกอบกับมาตรา ๓๒ มาตรา ๓๓ มาตรา ๓๔ มาตรา ๓๕ มาตรา ๓๖ มาตรา ๔๑ และมาตรา ๔๕ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย บัญญัติให้กระทำได้โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ออกกฎกระทรวงไว้ ดังต่อไปนี้ผู้ที่จะได้รับการแต่งตั้งเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่เพื่อให้ปฏิบัติการตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ พ.ศ. ๒๕๕๑ ต้องมีคุณสมบัติ ดังต่อไปนี้
(๑) เป็นข้าราชการซึ่งดำรงตำแหน่งไม่ต่ำกว่าข้าราชการพลเรือนสามัญประเภทวิชาการระดับปฏิบัติการ
(๒) สำเร็จการศึกษาไม่ต่ำกว่าปริญญาตรีหรือเทียบเท่า
(๓) เคยปฏิบัติงานเกี่ยวข้องกับการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์มาแล้วไม่น้อยกว่าหนึ่งปี
(๔) เป็นผู้มีความประพฤติเหมาะสมในการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์
(๕) ผ่านการอบรมการเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ในการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ตามหลักสูตรที่ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์กำหนดและผ่านการประเมินจากคณะกรรมการประเมินที่ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์แต่งตั้ง สำหรับผู้มีประสบการณ์ทำงานเป็นที่ประจักษ์ ไม่ต้องผ่านการอบรม แต่ต้องผ่านการประเมินตามระเบียบที่ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์กำหนด
ให้ไว้ ณ วันที่ ๒๖ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๒
อิสสระ สมชัย
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
(ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๒๖ ตอนที่ ๒๓ ก หน้า ๒๒ วันที่ ๘ เมษายน ๒๕๕๒)
ระเบียบคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ ว่าด้วยการจดทะเบียนองค์กรเอกชนด้านการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์พ.ศ. ๒๕๕๒
เพื่อให้องค์กรเอกชนที่มีการดำเนินงานด้านการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ได้รับการสนับสนุนเพื่อเพิ่มศักยภาพในการดำเนินงานป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ ได้อย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๑๖ (๖) แห่งพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ พ.ศ. ๒๕๕๑ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์จึงออกระเบียบไว้ ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ระเบียบนี้เรียกว่า “ระเบียบคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ ว่าด้วยการจดทะเบียนองค์กรเอกชนด้านการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ พ.ศ. ๒๕๕๒”
ข้อ ๒* ระเบียบนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
*ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๒๖ ตอน ๗๐ พิเศษ ง หน้า ๑๕ วันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๕๕๒
ข้อ ๓ ในระเบียบนี้
“องค์กรเอกชน” หมายความว่า องค์กรที่มิใช่ส่วนราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจหรือองค์กรอื่นของรัฐ ซึ่งไม่ได้แสวงหากำไร และมีการดำเนินงานด้านการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ ทั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็นนิติบุคคลหรือไม่ และให้รวมถึงมูลนิธิ สมาคม ที่จดทะเบียนตามกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ หรือตามกฎหมายอื่น
“การป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์” หมายความว่า การดำเนินการเกี่ยวกับการป้องกันปราบปราม และแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ เช่น การป้องกัน การคุ้มครองช่วยเหลือ การให้ที่พัก อาหาร การรักษาพยาบาล การบำบัดฟื้นฟูทางร่างกายและจิตใจ การดำเนินคดีและการบังคับใช้กฎหมาย การส่งกลับและคืนสู่สังคม ความร่วมมือระหว่างประเทศ รวมทั้งการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ในด้านอื่น ๆ ตามที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์กำหนด เป็นต้น
“สำนักงาน” หมายความว่า สำนักงานเลขานุการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์
“ปลัดกระทรวง” หมายความว่า ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
ข้อ ๔ องค์กรเอกชนใดมีความประสงค์ที่จะยื่นคำขอจดทะเบียนองค์กรเอกชนด้านการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ ต้องมีคุณสมบัติดังนี้
(๑) จะต้องดำเนินกิจการและมีผลงานเกี่ยวข้องกับการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ต่อเนื่องจนถึงวันยื่นคำขอไม่น้อยกว่าหนึ่งปี
(๒) มีที่ทำการตั้งอยู่ในท้องที่ที่จะยื่นคำขอไม่น้อยกว่าหนึ่งปี
(๓) มีบุคลากร หรืออาสาสมัครในการปฏิบัติงาน หรือมีที่ปรึกษาที่มีความรู้เกี่ยวกับการป้องกัน ปราบปราม หรือแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์
(๔) มีแผนงาน โครงการ และกิจกรรมเกี่ยวข้องกับการป้องกัน ปราบปราม หรือแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์อย่างชัดเจน
(๕) ผู้บริหารองค์กรเอกชน ไม่เป็นผู้มีความประพฤติเสื่อมเสีย ไม่เป็นบุคคลล้มละลายและไม่เคยได้รับโทษจำคุกโดยคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก เว้นแต่ในความผิดอันได้กระทำด้วยความประมาท หรือความผิดลหุโทษ
ข้อ ๕ การยื่นคำขอจดทะเบียนเป็นองค์กรเอกชนด้านการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ตามระเบียบนี้ ให้ผู้บริหารองค์กร หรือผู้ได้รับมอบฉันทะจากองค์กรเอกชนยื่นคำขอตามแบบท้ายระเบียบนี้ พร้อมแนบเอกสารและหลักฐานประกอบการพิจารณา ดังต่อไปนี้
(๑) สำเนาทะเบียนบ้านและสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนของผู้บริหารองค์กรที่ยื่นคำขอ
(๒) สำเนาตราสารจดทะเบียนมูลนิธิ สมาคม หรือสำเนาข้อบังคับ ระเบียบขององค์กรเอกชนซึ่งผู้บริหารองค์กร หรือผู้ซึ่งได้รับมอบฉันทะให้คำรับรอง
(๓) รายนามคณะกรรมการหรือคณะผู้บริหารองค์กร
(๔) แผนงานโครงการขององค์กรเอกชนที่จะดำเนินการ
(๕) ผลการดำเนินงานขององค์กรเอกชนในระยะเวลาไม่น้อยกว่าหนึ่งปี
การยื่นคำขอตามวรรคหนึ่งให้ยื่นคำขอด้วยตนเอง หรือส่งโดยทางไปรษณีย์ลงทะเบียนตอบรับก็ได้
ข้อ ๖ การยื่นคำขอในส่วนภูมิภาคให้ยื่นคำขอที่สำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดที่องค์กรเอกชนนั้นมีสถานที่ทำการตั้งอยู่ และให้พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดพิจารณาเสนอความเห็นต่อผู้ว่าราชการจังหวัด เพื่ออนุมัติให้จดทะเบียน แล้วรายงานผลให้ปลัดกระทรวงทราบ
ในกรุงเทพมหานครให้ยื่นคำขอต่อสำนักงาน เพื่อพิจารณาเสนอความเห็นต่อปลัดกระทรวงเพื่ออนุมัติให้จดทะเบียน
ข้อ ๗ ในกรณีองค์กรเอกชนใดที่ได้รับการจดทะเบียนเป็นองค์กรเอกชนด้านการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์แล้ว ให้สำนักงาน หรือสำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัด ที่รับคำขอออกใบสำคัญแสดงการจดทะเบียนตามแบบแนบท้ายระเบียบนี้ให้แก่องค์กรเอกชนนั้น
หลักเกณฑ์การขอรับการช่วยเหลือจากกองทุนเพื่อการป้องกันละปราบปรามการค้ามนุษย์ให้เป็นไปตามระเบียบคณะกรรมการประสานและกำกับการดำเนินงานป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ ว่าด้วยหลักเกณฑ์และอนุมัติการใช้จ่ายเงินและทรัพย์สินของกองทุนเพื่อการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์
องค์กรเอกชน ตามวรรคหนึ่งอาจได้รับการพิจารณาส่งเสริมสนับสนุนงบประมาณในการดำเนินกิจการขององค์กรจากกองทุนเพื่อการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์
ข้อ ๘ ในกรณีที่ผู้รับคำขอ เห็นว่าการยื่นคำขอจดทะเบียนเป็นองค์กรเอกชนด้านการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์มิได้ปฏิบัติให้ถูกต้องครบถ้วน ให้แจ้งผู้ยื่นคำขอโดยไม่ชักช้า
ในกรณีที่ไม่ได้รับการอนุมัติให้จดทะเบียนตามระเบียบนี้ ให้แจ้งเหตุผลให้ผู้ยื่นคำขอทราบภายในสี่สิบห้าวัน นับแต่วันที่ได้รับเอกสารครบถ้วนแล้ว
ข้อ ๙ ให้ปลัดกระทรวง ผู้ว่าราชการจังหวัด หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายจากปลัดกระทรวงหรือผู้ว่าราชการจังหวัด มีอำนาจเข้าไปดูแล ให้คำแนะนำ แก่องค์กรเอกชนที่จดทะเบียนตามระเบียบนี้ซึ่งรับผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ไว้ดูแล ในเรื่องความปลอดภัย การคุ้มครองดูแล และสภาพความเป็นอยู่ของผู้เสียหาย
ข้อ ๑๐ ในกรณีที่มีการเลิกกิจการหรือเปลี่ยนชื่อองค์กรเอกชนใด ให้องค์กรเอกชนนั้นแจ้งต่อสำนักงานที่รับจดทะเบียน เพื่อให้มีการแก้ไขทะเบียนรายชื่อต่อไป
ข้อ ๑๑ องค์กรเอกชนใดขาดคุณสมบัติ ให้ผู้อนุมัติคำขอมีอำนาจเพิกถอนรายชื่อจากทะเบียนองค์กรเอกชน
ข้อ ๑๒ ให้สำนักงานทบทวนรายชื่อองค์กรเอกชนที่จดทะเบียน ทุกสองปี เพื่อเป็นข้อมูลในการประสานงานการดำเนินงานร่วมกันของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
ข้อ ๑๓ ให้ปลัดกระทรวงรักษาการตามระเบียบนี้ และให้มีอำนาจกำหนดแบบแนวปฏิบัติ รวมทั้งวินิจฉัยชี้ขาดในกรณีที่มีปัญหา หรือข้อขัดแย้งเกี่ยวกับการปฏิบัติตามระเบียบนี้
ประกาศ ณ วันที่ ๒๓ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๒
อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
นายกรัฐมนตรี
ประธานกรรมการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์
แบบฟอร์มคำขอจดทะเบียนองค์กรด้านการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์
ชื่อ (มูลนิธิ/สมาคม/องค์กรเอกชน).....................................................................................
ปีที่เริ่มก่อตั้ง..........................................................................................................................
สถานที่ตั้งสำนักงาน.............................................................................................................
โทรศัพท์........................................................โทรสาร...........................................................
วัตถุประสงค์ขององค์กร.......................................................................................................
................................................................................................................................................
รายชื่อคณะทำงาน/ที่ปรึกษา...............................................................................................
ผู้ประสานงาน...............................................โทรศัพท์..........................................................
แผนงาน/โครงการ ที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันและแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์..................
................................................................................................................................................
ผลงานที่ผ่านมาไม่น้อยกว่าหนึ่งปี (โดยสรุป)....................................................................
................................................................................................................................................................................................................................................................................................
แหล่งเงินทุน..........................................................................................................................
................................................................................................................................................
ฐานะทางการเงิน/รายงานงบดุล.........................................................................................
................................................................................................................................................
กลุ่มเป้าหมายที่ให้บริการ...................................................................................................
................................................................................................................................................
พื้นที่ดำเนินการ.....................................................................................................................
(ลงชื่อ)....................................................ประธาน
(..................................................)
(ลงชื่อ)....................................................ผู้ยื่นคำขอ
(..................................................)
ตำแหน่ง..................................................................
วันที่........................................................................
มาตรา ๒* พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับเมื่อพ้นหนึ่งร้อยยี่สิบวันนับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
Unofficial Translation
Section 2. This Act shall come into force after one hundred and twenty days from its publication in the Government Gazette.
มาตรา ๓ ให้ยกเลิกพระราชบัญญัติมาตรการในการป้องกันและปราบปรามการค้าหญิงและเด็ก พ.ศ. ๒๕๔๐
Unofficial Translation
Section 3. The Measures in Prevention and Suppression of Trafficking in Women and Children Act, B.E. 2540 (1997) shall be repealed.
มาตรา ๔ ในพระราชบัญญัตินี้
“องค์กรอาชญากรรม” หมายความว่า คณะบุคคลซึ่งมีการจัดโครงสร้างโดยสมคบกันตั้งแต่สามคนขึ้นไปไม่ว่าจะเป็นการถาวรหรือชั่วระยะเวลาหนึ่ง และไม่ว่าจะเป็นโครงสร้างที่ชัดเจนมีการกำหนดบทบาทของสมาชิกอย่างแน่นอนหรือมีความต่อเนื่องของสมาชิกภาพหรือไม่ ทั้งนี้ โดยมีวัตถุประสงค์ที่จะกระทำความผิดฐานใดฐานหนึ่งหรือหลายฐานที่มีอัตราโทษจำคุกขั้นสูงตั้งแต่สี่ปีขึ้นไปหรือกระทำความผิดตามที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัตินี้ เพื่อแสวงหาผลประโยชน์ทางทรัพย์สินหรือผลประโยชน์อื่นใดอันมิชอบด้วยกฎหมายไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อม
“เด็ก” หมายความว่า บุคคลผู้มีอายุต่ำกว่าสิบแปดปี
“กองทุน” หมายความว่า กองทุนเพื่อการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์
“คณะกรรมการ” หมายความว่า คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์
“กรรมการ” หมายความว่า กรรมการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์
“พนักงานเจ้าหน้าที่” หมายความว่า พนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจชั้นผู้ใหญ่ และให้หมายความรวมถึงข้าราชการซึ่งดำรงตำแหน่งไม่ต่ำกว่าข้าราชการพลเรือนสามัญระดับสามซึ่งรัฐมนตรีแต่งตั้งจากผู้ที่มีคุณสมบัติตามที่กำหนดในกฎกระทรวงเพื่อให้ปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้*
“รัฐมนตรี” หมายความว่า รัฐมนตรีผู้รักษาการตามพระราชบัญญัตินี้
Unofficial Translation
Section 4. In this act:
“Organized Criminal Group” means a structured group of three or more persons, whether formed permanently or for a while, and no need to have formally defined roles for its members, continuity of its membership, or a developed structure, acting in concert to commit one organized more offenses punishable by a maximum imprisonment of four years and longer or committing any offense provided in this Act, to unlawfully obtain, directly or indirectly, property or any other benefits.
“Child” means any person under eighteen years of age.
“Fund” means the Anti-Human Trafficking Fund.
“Committee” means the Anti-Human Trafficking Committee.
“Member” means a member of the Anti-Human Trafficking Committee.
“Competent official” means a senior administrative or police official including a government official holding a position not lower than level 3 of ordinary civil servant rank, appointed by the Minister, from those who possess qualifications specified in the Ministerial Regulation, for the execution of this Act.
“Minister” means the Minister having charge and control of the execution of this Act.
มาตรา ๕ ให้ประธานศาลฎีกา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน รักษาการตามพระราชบัญญัตินี้ ทั้งนี้ ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับอำนาจหน้าที่ของตน
ให้ประธานศาลฎีกามีอำนาจออกข้อบังคับ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานมีอำนาจแต่งตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่กับออกกฎกระทรวงและระเบียบเพื่อปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้
ข้อบังคับประธานศาลฎีกา กฎกระทรวง และระเบียบนั้น เมื่อได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วให้ใช้บังคับได้
Unofficial Translation
Section 5. The President of the Supreme Court and the Minister of Social Development and Human Security shall have charge and control of the execution of this Act, concerning their respective powers and duties. The President of the Supreme Court shall have the power to issue the Regulations and the Minister of Social Development and Human Security shall have the power to appoint competent officials and issue the Ministerial Regulations and the Rules for executing this Act. The Regulations of the President of the Supreme Court, the Ministerial Regulations, and Rules shall come into force upon their publication in the Government Gazette.
มาตรา ๖ ผู้ใดกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใด ดังต่อไปนี้
(๑) เป็นธุระจัดหา ซื้อ ขาย จำหน่าย พามาจากหรือส่งไปยังที่ใด หน่วงเหนี่ยวกักขัง จัดให้อยู่อาศัย หรือรับไว้ซึ่งบุคคลใด โดยข่มขู่ ใช้กำลังบังคับ ลักพาตัว ฉ้อฉล หลอกลวง ใช้อำนาจโดยมิชอบ ใช้อำนาจครอบงำบุคคลด้วยเหตุที่อยู่ในภาวะอ่อนด้อยทางร่างกาย จิตใจ การศึกษา หรือทางอื่นใดโดยมิชอบ ขู่เข็ญว่าจะใช้กระบวนการทางกฎหมายโดยมิชอบ หรือโดยให้เงินหรือผลประโยชน์อย่างอื่นแก่ผู้ปกครองหรือผู้ดูแลบุคคลนั้นเพื่อให้ผู้ปกครองหรือผู้ดูแลให้ความยินยอมแก่ผู้กระทำความผิดในการแสวงหาประโยชน์จากบุคคลที่ตนดูแล หรือ
(๒) เป็นธุระจัดหา ซื้อ ขาย จำหน่าย พามาจากหรือส่งไปยังที่ใด หน่วงเหนี่ยวกักขังจัดให้อยู่อาศัย หรือรับไว้ซึ่งเด็ก
ถ้าการกระทำนั้นได้กระทำโดยมีความมุ่งหมายเพื่อเป็นการแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบ ผู้นั้นกระทำความผิดฐานค้ามนุษย์
การแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบตามวรรคหนึ่ง หมายความว่า การแสวงหาประโยชน์จากการค้าประเวณี การผลิตหรือเผยแพร่วัตถุหรือสื่อลามก การแสวงหาประโยชน์ทางเพศในรูปแบบอื่น การเอาคนลงเป็นทาสหรือให้มีฐานะคล้ายทาส การนำคนมาขอทาน การตัดอวัยวะเพื่อการค้า การบังคับใช้แรงงานหรือบริการตามมาตรา ๖/๑ หรือการอื่นใดที่คล้ายคลึงกันอันเป็นการขูดรีดบุคคลไม่ว่าบุคคลนั้นจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม
Unofficial Translation
Section 6 Whoever commits any of the following acts:
(1) procures, buys, sells, distributes, brings from, or sends to any place, detains, confines, arranges for the accommodation of, or receives any person by threatening, using force, kidnapping, fraud, deceiving, abusing power, abusing power over a person due to physical, mental, educational, or other weaknesses, threatening to use legal procedures improperly, or by giving money or other benefits to the guardian or caregiver of that person for the guardian or caregiver to consent to the offender exploiting the person under his care, or
(2) procures, buys, sells, distributes, brings from, or sends to any place, detains, confines, arranges for the accommodation of, or receives a child.
If such an act is committed to exploit the person, such person is guilty of human trafficking.
Illegal exploitation under paragraph one means exploitation through prostitution, production or distribution of media or pornographic materials, exploitation of sexual exploitation in other forms, enslaving or enslaving people, bringing people to beg, and cutting off organs for trade. Forced labor or services under Section 6/1 or any similar acts that are exploitative towards a person regardless of whether that person consents or not.
มาตรา ๖/๑ ผู้ใดข่มขืนใจผู้อื่นให้ทำงานหรือให้บริการโดยวิธีการอย่างหนึ่งอย่างใด ดังต่อไปนี้
(๑) ทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ ชื่อเสียง หรือทรัพย์สินของบุคคลนั้นเองหรือของผู้อื่น
(๒) ขู่เข็ญด้วยประการใด ๆ
(๓) ใช้กำลังประทุษร้าย
(๔) ยึดเอกสารสำคัญประจำตัวของบุคคลนั้นไว้
(๕) นำภาระหนี้ของบุคคลนั้นหรือของผู้อื่นมาเป็นสิ่งผูกมัดโดยมิชอบ
(๖) ทำด้วยประการอื่นใดอันมีลักษณะคล้ายคลึงกับการกระทำดังกล่าวข้างต้น
ถ้าได้กระทำให้ผู้อื่นนั้นอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้ ผู้นั้นกระทำความผิดฐานบังคับใช้แรงงานหรือบริการ
มาตรา ๖/๒ บทบัญญัติในมาตรา ๖/๑ ไม่ใช้บังคับกับ
(๑) งานหรือบริการซึ่งอยู่ภายใต้กฎหมายว่าด้วยการรับราชการทหารสำหรับงานในหน้าที่ราชการโดยเฉพาะ
(๒) งานหรือบริการซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการปฏิบัติหน้าที่พลเมืองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐตามรัฐธรรมนูญหรือตามกฎหมาย
(๓) งานหรือบริการอันเป็นผลมาจากคำพิพากษาของศาลหรือที่ต้องทำในระหว่างการต้องโทษตามคำพิพากษาของศาล
(๔) งานหรือบริการเพื่อประโยชน์ในการป้องกันภัยพิบัติสาธารณะ หรือในกรณีที่มีการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน หรือในขณะที่ประเทศอยู่ในภาวะสงครามหรือการรบ
มาตรา ๗ ผู้ใดกระทำการดังต่อไปนี้ต้องระวางโทษเช่นเดียวกับผู้กระทำความผิดฐานค้ามนุษย์
(๑) สนับสนุนการกระทำความผิดฐานค้ามนุษย์
(๒) อุปการะโดยให้ทรัพย์สิน จัดหาที่ประชุมหรือที่พำนักให้แก่ผู้กระทำความผิดฐานค้ามนุษย์
(๓) ช่วยเหลือด้วยประการใดเพื่อให้ผู้กระทำความผิดฐานค้ามนุษย์พ้นจากการถูกจับกุม
(๔) เรียก รับ หรือยอมจะรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดจากผู้กระทำความผิดฐานค้ามนุษย์เพื่อมิให้ผู้กระทำความผิดฐานค้ามนุษย์ถูกลงโทษ
(๕) ชักชวน ชี้แนะ หรือติดต่อบุคคลให้เข้าเป็นสมาชิกขององค์กรอาชญากรรมเพื่อประโยชน์ในการกระทำความผิดฐานค้ามนุษย์
Unofficial Translation
Section 7. Any person who commits any of the following acts shall be liable to the same punishment as the offender of an offense of human trafficking:
(1) abetting the commission of an offense of human trafficking;
(2) supporting by providing property to, procuring a place for meeting or lodging for the offender of human trafficking;
(3) assisting by any means so that the offender of human trafficking may not be apprehended;
(4) demanding, accepting, or agreeing to accept property or any other benefits from the offender of human trafficking to preclude him or her from being punished;
(5) inducing, suggesting, or contacting a person to become a member of an organized criminal group, to commit an offense of human trafficking.
มาตรา ๘ ผู้ใดตระเตรียมเพื่อกระทำความผิดตามมาตรา ๖ ต้องระวางโทษหนึ่งในสามของโทษที่กำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น
Unofficial Translation
Section 8. Any person, who prepares to commit an offense under section 6, shall be liable to one-third of the punishment provided for such offense.
มาตรา ๙ ผู้ใดสมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดตามมาตรา ๖ ต้องระวางโทษไม่เกินกึ่งหนึ่งของโทษที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น
ถ้าผู้ที่สมคบกันกระทำความผิดคนหนึ่งคนใดได้ลงมือกระทำความผิดตามที่ได้สมคบกันผู้ร่วมสมคบด้วยกันทุกคนต้องระวางโทษตามที่ได้บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้นอีกกระทงหนึ่งด้วย
ในกรณีที่ความผิดได้กระทำถึงขั้นลงมือกระทำความผิด แต่เนื่องจากการเข้าขัดขวางของผู้สมคบทำให้การกระทำนั้นกระทำไปไม่ตลอด หรือกระทำไปตลอดแล้วแต่การกระทำนั้นไม่บรรลุผล ผู้สมคบที่กระทำการขัดขวางนั้นต้องรับโทษตามที่กำหนดไว้ในวรรคหนึ่ง
ถ้าผู้กระทำความผิดตามวรรคหนึ่งกลับใจให้ความจริงแห่งการสมคบต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ก่อนที่จะมีการกระทำความผิดตามที่ได้มีการสมคบกัน ศาลจะไม่ลงโทษหรือลงโทษผู้นั้นน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้นเพียงใดก็ได้
Unofficial Translation
Section 9. Any person who, two persons in number or more, conspire to commit an offense under section 6 shall be liable to punishment not exceeding one-half of the punishment provided for such offense.
If any of the conspiring offenders has commenced the commission of the conspired offense, every conspirator shall be liable to the punishment provided for such offense as an additional count.
In the case where the commission of an offense is commenced but, due to an intervention of a conspirator, it cannot be completed, or it is completed. Still, if it does not achieve the purpose, the conspirator so intervening shall be liable to the punishment as provided in paragraph one.
Suppose the offender under paragraph one changed his or her mind and provided the competent official with a true account of the conspiracy before the commission of the conspired offense. In that case, the Court may inflict on such a person no punishment or lesser punishment to any extent than that provided by law for such offense.
มาตรา ๑๐ ถ้าการกระทำความผิดตามมาตรา ๖ ได้กระทำโดยร่วมกันตั้งแต่สามคนขึ้นไปหรือโดยสมาชิกขององค์กรอาชญากรรม ต้องระวางโทษหนักกว่าโทษที่กฎหมายบัญญัติไว้กึ่งหนึ่ง
ในกรณีที่สมาชิกขององค์กรอาชญากรรมได้กระทำความผิดตามมาตรา ๖ สมาชิกขององค์กรอาชญากรรมทุกคนที่เป็นสมาชิกอยู่ในขณะที่กระทำความผิด และรู้เห็นหรือยินยอมกับการกระทำความผิดดังกล่าว ต้องระวางโทษตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้นแม้จะมิได้เป็นผู้กระทำความผิดนั้นเอง
ถ้าการกระทำความผิดตามวรรคหนึ่งได้กระทำเพื่อให้ผู้เสียหายที่ถูกพาเข้ามาหรือส่งออกไปนอกราชอาณาจักรตกอยู่ในอำนาจของผู้อื่นโดยมิชอบด้วยกฎหมาย ต้องระวางโทษเป็นสองเท่าของโทษที่กำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น
Unofficial Translation
Section 10. In the case where an offense under section 6 is jointly committed by three persons or more in number or by a member of an organized criminal group, the offender shall be liable to a punishment of one and a half times greater than that provided by law.
In the case where a member of an organized criminal group commits an offense under section 6, everyone being a member of an organized criminal group at the time of the commission of the offense and has the knowledge of or consents to the commission of such offense shall be liable to a punishment provided by law for such offense even though he or she has not personally committed such offense.
If the offense under paragraph one is committed to illegally place the victim, who is being brought into or sent out of the Kingdom, under the power of another person, the offender shall be liable to twice the punishment provided by law for such offense.
มาตรา ๑๑ ผู้ใดกระทำความผิดตามมาตรา ๖ นอกราชอาณาจักร ผู้นั้นจะต้องรับโทษในราชอาณาจักรตามที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัตินี้ โดยให้นำมาตรา ๑๐ แห่งประมวลกฎหมายอาญามาใช้บังคับโดยอนุโลม
มาตรา ๑๒ ผู้ใดกระทำความผิดตามพระราชบัญญัตินี้ โดยแสดงตนเป็นเจ้าพนักงานและกระทำการเป็นเจ้าพนักงาน โดยตนเองมิได้เป็นเจ้าพนักงานที่มีอำนาจหน้าที่กระทำการนั้น ต้องระวางโทษเป็นสองเท่าของโทษที่กำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น
มาตรา ๑๓ ผู้ใดเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา สมาชิกสภาท้องถิ่น ผู้บริหารท้องถิ่น ข้าราชการ* พนักงานองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น* พนักงานองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ* กรรมการหรือผู้บริหารหรือพนักงานรัฐวิสาหกิจ เจ้าพนักงาน หรือกรรมการองค์กรต่าง ๆ ตามรัฐธรรมนูญ กระทำความผิดตามพระราชบัญญัตินี้ ต้องระวางโทษเป็นสองเท่าของโทษที่กำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น
กรรมการ กรรมการ ปกค. อนุกรรมการ สมาชิกของคณะทำงาน และพนักงานเจ้าหน้าที่ตามพระราชบัญญัตินี้ ผู้ใดกระทำความผิดใดตามพระราชบัญญัตินี้เสียเอง ต้องระวางโทษเป็นสามเท่าของโทษที่กำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น
มาตรา ๑๓/๑* ผู้ใดแจ้งแก่พนักงานเจ้าหน้าที่หรือพนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจให้ทราบว่ามีการกระทำความผิดตามพระราชบัญญัตินี้ ถ้าได้กระทำโดยสุจริตย่อมได้รับความคุ้มครองไม่ต้องรับผิดทั้งทางแพ่งและทางอาญา
มาตรา ๑๔ ให้ความผิดตามมาตรา ๖/๑ ที่เป็นเหตุให้ผู้ถูกกระทำได้รับอันตรายสาหัส หรือถึงแก่ความตาย เป็นความผิดมูลฐานตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน
มาตรา ๑๔/๑ เพื่อประโยชน์ในการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ การบังคับใช้แรงงาน หรือบริการ และการช่วยเหลือคุ้มครองผู้เสียหาย ให้คำว่า “ค้ามนุษย์ ” ในหมวด ๓ และหมวด ๔ หมายความรวมถึง “บังคับใช้แรงงานหรือบริการ” ด้วย
ให้นำกฎหมายว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีค้ามนุษย์มาใช้บังคับกับการพิจารณาคดีบังคับใช้แรงงาน หรือบริการด้วยโดยอนุโลม
มาตรา ๑๕ ให้มีคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ เรียกโดยย่อว่า “คณะกรรมการ ปคม.” ประกอบด้วย นายกรัฐมนตรีเป็นประธานกรรมการ รองนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นประธานคณะกรรมการ ปกค. เป็นรองประธานกรรมการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน และผู้ทรงคุณวุฒิจำนวนสี่คน ซึ่งนายกรัฐมนตรีแต่งตั้งจากผู้เชี่ยวชาญและมีประสบการณ์โดดเด่นเป็นที่ประจักษ์ด้านการป้องกัน การปราบปราม การบำบัดฟื้นฟูและการประสานงานระหว่างประเทศเกี่ยวกับการค้ามนุษย์ไม่น้อยกว่าเจ็ดปี ด้านละหนึ่งคน โดยต้องเป็นภาคเอกชนไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งเป็นกรรมการ และมีปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เป็นเลขานุการ และให้ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์แต่งตั้งข้าราชการของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ จำนวนไม่เกินสองคน เป็นผู้ช่วยเลขานุการ*
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิตามวรรคหนึ่งต้องเป็นสตรีไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่ง
มาตรา ๑๖ ให้คณะกรรมการมีอำนาจหน้าที่ดังต่อไปนี้
(๑) เสนอความเห็นต่อคณะรัฐมนตรีในการกำหนดนโยบายเกี่ยวกับการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์
(๒) เสนอความเห็นต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อให้มีการปรับปรุงกฎหมาย กฎ ระเบียบ หรือโครงสร้างของส่วนราชการที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ เพื่อให้การปฏิบัติตามพระราชบัญญัตินี้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
(๒/๑)* เสนอความเห็นต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อกำหนดมาตรการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ในสถานประกอบกิจการ โรงงาน และยานพาหนะ และกำหนดให้สถานประกอบกิจการ โรงงาน และยานพาหนะ ต้องอยู่ภายใต้บังคับของมาตรการดังกล่าว
(๓) กำหนดยุทธศาสตร์และมาตรการในการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์
(๔) กำหนดแนวทางและกำกับดูแลการดำเนินการตามพันธกรณีระหว่างประเทศตลอดจนการให้ความร่วมมือและประสานงานกับต่างประเทศเกี่ยวกับการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์
(๕) สั่งการและกำกับดูแลให้มีการศึกษาวิจัยและจัดทำข้อมูลแบบบูรณาการ เพื่อประโยชน์ในการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์
(๖) วางระเบียบเกี่ยวกับการจดทะเบียนองค์กรเอกชนที่มีวัตถุประสงค์ด้านการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ ตลอดจนหลักเกณฑ์ในการช่วยเหลือการดำเนินกิจกรรมขององค์กรดังกล่าว*
(๗) วางระเบียบโดยความเห็นชอบของกระทรวงการคลังเกี่ยวกับการรับเงิน การจ่ายเงิน การเก็บรักษาเงิน การจัดหาผลประโยชน์ และการจัดการกองทุน*
(๘) วางระเบียบเกี่ยวกับการรายงานสถานะการเงินและการจัดการกองทุนเพื่อปฏิบัติตามพระราชบัญญัตินี้*
(๙) สั่งการและกำกับดูแลการดำเนินงานของคณะกรรมการ ปกค.
(๑๐) ดำเนินการตามที่คณะรัฐมนตรีมอบหมาย
มาตรา ๑๖/๑* ให้นายกรัฐมนตรีโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีมีอำนาจออกประกาศกำหนดมาตรการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ในสถานประกอบกิจการ โรงงาน และยานพาหนะ และประกาศกำหนดให้สถานประกอบกิจการ โรงงาน และยานพาหนะใด ๆ ต้องอยู่ภายใต้บังคับของมาตรการดังกล่าว ทั้งนี้ โดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา
มาตรา ๑๖/๒* ในกรณีที่พนักงานเจ้าหน้าที่ตรวจพบว่ามีการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์หรือพบการกระทำความผิดตามพระราชบัญญัตินี้ในสถานประกอบกิจการโรงงาน หรือยานพาหนะตามมาตรา ๑๖/๑ หากเจ้าของ ผู้ครอบครอง หรือผู้ดำเนินกิจการสถานประกอบกิจการโรงงาน หรือยานพาหนะ ดังกล่าวไม่สามารถชี้แจงหรือพิสูจน์ให้คณะอนุกรรมการตามมาตรา ๒๕ วรรคสอง เชื่อได้ว่าตนได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควรแก่กรณีแล้ว ให้คณะอนุกรรมการตามมาตรา ๒๕ วรรคสอง มีอำนาจสั่งอย่างหนึ่งอย่างใด ดังต่อไปนี้
(๑) ปิดสถานประกอบกิจการหรือโรงงานชั่วคราว
(๒) พักใช้ใบอนุญาตประกอบการสำหรับการประกอบธุรกิจหรือโรงงาน
(๓) ห้ามใช้ยานพาหนะเป็นการชั่วคราว
(๔) ดำเนินมาตรการที่จำเป็นเพื่อป้องกันมิให้มีการกระทำผิดเกิดขึ้นอีก
ทั้งนี้ การสั่งตาม (๑) (๒) และ (๓) ต้องไม่เกินครั้งละสามสิบวันนับแต่วันที่เจ้าของ ผู้ครอบครอง หรือผู้ดำเนินกิจการสถานประกอบกิจการ โรงงาน หรือยานพาหนะ ได้รับทราบคำสั่ง
ในกรณีมีการออกคำสั่งใด ๆ ตามวรรคหนึ่ง ให้คณะอนุกรรมการตามมาตรา ๒๕ วรรคสอง แจ้งให้หน่วยงานซึ่งควบคุมสถานประกอบกิจการ โรงงาน หรือยานพาหนะนั้นทราบ และให้หน่วยงานดังกล่าวถือปฏิบัติตามนั้น
การพิจารณาปิดสถานประกอบกิจการหรือโรงงานชั่วคราว การพักใช้ใบอนุญาตประกอบการสำหรับการประกอบธุรกิจหรือโรงงาน การห้ามใช้ยานพาหนะเป็นการชั่วคราวหรือการดำเนินมาตรการที่จำเป็นเพื่อป้องกันมิให้มีการกระทำผิดเกิดขึ้นอีก ตามวรรคหนึ่ง และการแจ้งให้หน่วยงานรับทราบตามวรรคสามให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่รัฐมนตรีประกาศกำหนด*
มาตรา ๑๖/๓* ให้แจ้งคำสั่งตามมาตรา ๑๖/๒ ต่อเจ้าของ ผู้ครอบครองหรือผู้ดำเนินกิจการสถานประกอบกิจการ โรงงาน หรือยานพาหนะนั้นทราบเป็นหนังสือ ณ ภูมิลำเนาของผู้นั้น ภายในเจ็ดวันนับแต่วันออกคำสั่ง
ในกรณีที่ไม่มีผู้รับ ให้ปิดคำสั่งไว้ที่ภูมิลำเนาของผู้นั้นในที่เปิดเผย และให้ถือว่าเจ้าของ ผู้ครอบครอง หรือผู้ดำเนินกิจการสถานประกอบกิจการ โรงงาน หรือยานพาหนะ ได้รับแจ้งคำสั่งนั้นแล้ว เมื่อพ้นกำหนดสิบห้าวันนับแต่วันปิดคำสั่ง
ในกรณีเจ้าของ ผู้ครอบครอง หรือผู้ดำเนินกิจการสถานประกอบกิจการ โรงงาน หรือยานพาหนะไม่เห็นด้วยกับคำสั่งของคณะอนุกรรมการตามมาตรา ๒๕ วรรคสอง ให้อุทธรณ์ต่อคณะกรรมการภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่งจากคณะอนุกรรมการ
การอุทธรณ์ไม่เป็นเหตุให้ทุเลาการบังคับตามคำสั่งของคณะอนุกรรมการตามมาตรา ๒๕ วรรคสอง
คำวินิจฉัยของคณะกรรมการให้เป็นที่สุด
มาตรา ๑๗ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิมีวาระการดำรงตำแหน่งคราวละสี่ปี
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งพ้นจากตำแหน่งตามวาระอาจได้รับแต่งตั้งอีกได้แต่ต้องไม่เกินสองวาระติดต่อกัน
มาตรา ๑๘ นอกจากการพ้นจากตำแหน่งตามวาระ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิพ้นจากตำแหน่งเมื่อ
(๑) ตาย
(๒) ลาออก
(๓) นายกรัฐมนตรีให้ออก เพราะบกพร่องหรือไม่สุจริตต่อหน้าที่หรือมีความประพฤติเสื่อมเสีย
(๔) เป็นบุคคลล้มละลาย
(๕) เป็นคนไร้ความสามารถหรือคนเสมือนไร้ความสามารถ
(๖) ได้รับโทษจำคุกโดยคำพิพากษาถึงที่สุด เว้นแต่เป็นโทษสำหรับความผิดที่ได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ
(๗) ขาดการประชุมสามครั้งติดต่อกันโดยไม่มีเหตุอันสมควร
มาตรา ๑๙ ในกรณีที่กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิพ้นจากตำแหน่งก่อนวาระ ให้นายกรัฐมนตรีแต่งตั้งบุคคลซึ่งมีคุณสมบัติเช่นเดียวกันเป็นกรรมการแทน เว้นแต่วาระการดำรงตำแหน่งของกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเหลือไม่ถึงเก้าสิบวันจะไม่แต่งตั้งก็ได้ และให้ผู้ที่ได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งแทนอยู่ในตำแหน่งเท่ากับวาระที่เหลืออยู่ของกรรมการซึ่งตนแทน
มาตรา ๒๐ ในกรณีที่กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิดำรงตำแหน่งครบวาระแล้วแต่ยังมิได้มีการแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิขึ้นใหม่ ให้กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิที่พ้นจากตำแหน่งตามวาระปฏิบัติหน้าที่ไปพลางก่อนจนกว่าจะมีการแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิขึ้นใหม่