มาตรา ๒๔๔/๑* ในกรณีความผิดอาญาที่มีอัตราโทษจำคุก หากมีความจำเป็นต้องใช้พยานหลักฐานทางวิทยาศาสตร์เพื่อพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดที่เป็นประเด็นสำคัญแห่งคดีให้ศาลมีอำนาจสั่งให้ทำการตรวจพิสูจน์บุคคล วัตถุ หรือเอกสารใด โดยวิธีการทางวิทยาศาสตร์ได้
ในกรณีที่การตรวจพิสูจน์ตามวรรคหนึ่ง จำเป็นต้องตรวจเก็บตัวอย่างเลือดเนื้อเยื่อ ผิวหนัง เส้นผมหรือขน น้ำลาย ปัสสาวะ อุจจาระ สารคัดหลั่ง สารพันธุกรรมหรือส่วนประกอบของร่างกายจากคู่ความหรือบุคคลใด ให้ศาลมีอำนาจสั่งให้แพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญดำเนินการตรวจดังกล่าวได้ แต่ต้องกระทำเพียงเท่าที่จำเป็นและสมควรโดยใช้วิธีการที่ก่อให้เกิดความเจ็บปวดน้อยที่สุดเท่าที่จะกระทำได้ทั้งจะต้องไม่เป็นอันตรายต่อร่างกายหรืออนามัยของบุคคลนั้น และคู่ความหรือบุคคลที่เกี่ยวข้องต้องให้ความยินยอม หากคู่ความฝ่ายใดไม่ยินยอม หรือกระทำการป้องปัดขัดขวางมิให้บุคคลที่เกี่ยวข้องให้ความยินยอมโดยไม่มีเหตุอันสมควร ให้สันนิษฐานไว้เบื้องต้นว่าข้อเท็จจริงเป็นไปตามที่คู่ความฝ่ายตรงข้ามกล่าวอ้าง
ในกรณีที่พยานหลักฐานทางวิทยาศาสตร์สามารถพิสูจน์ให้เห็นถึงข้อเท็จจริงที่อาจทำให้ศาลวินิจฉัยชี้ขาดคดีได้โดยไม่ต้องสืบพยานหลักฐานอื่นอีก หรือมีเหตุอันควรเชื่อว่าหากมีการเนิ่นช้ากว่าจะนำพยานหลักฐานทางวิทยาศาสตร์อันสำคัญมาสืบในภายหน้าพยานหลักฐานนั้นจะสูญเสียไปหรือยากแก่การตรวจพิสูจน์ เมื่อคู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งร้องขอหรือเมื่อศาลเห็นสมควร ศาลอาจสั่งให้ทำการตรวจพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ตามความในวรรคหนึ่งและวรรคสองได้ทันทีโดยไม่จำต้องรอให้ถึงกำหนดวันสืบพยานตามปกติ ทั้งนี้ ให้นำบทบัญญัติในมาตรา ๒๓๗ ทวิ มาใช้บังคับโดยอนุโลม
ค่าใช้จ่ายในการตรวจพิสูจน์ตามมาตรานี้ให้สั่งจ่ายจากงบประมาณตามระเบียบที่คณะกรรมการบริหารศาลยุติธรรม*กำหนดโดยความเห็นชอบจากกระทรวงการคลัง
มาตรา ๒๔๕* ภายใต้บังคับแห่งมาตรา ๒๔๖, ๒๔๗ และ ๒๔๘ เมื่อคดีถึงที่สุดแล้ว ให้บังคับคดีโดยไม่ชักช้า
ศาลชั้นต้นมีหน้าที่ต้องส่งสำนวนคดีที่พิพากษาให้ลงโทษประหารชีวิต หรือจำคุกตลอดชีวิต ไปยังศาลอุทธรณ์ในเมื่อไม่มีการอุทธรณ์คำพิพากษานั้น และคำพิพากษาเช่นว่านี้จะยังไม่ถึงที่สุด เว้นแต่ศาลอุทธรณ์จะได้พิพากษายืน
มาตรา ๒๔๖* เมื่อจำเลย สามี ภริยา ญาติของจำเลย พนักงานอัยการ ผู้บัญชาการเรือนจำ หรือเจ้าพนักงานผู้มีหน้าที่จัดการตามหมายจำคุกร้องขอ หรือเมื่อศาลเห็นสมควร ศาลมีอำนาจสั่งให้ทุเลาการบังคับให้จำคุกไว้ก่อนจนกว่าเหตุอันควรทุเลาจะหมดไป ในกรณีต่อไปนี้
(๑) เมื่อจำเลยวิกลจริต
(๒) เมื่อเกรงว่าจำเลยจะถึงอันตรายแก่ชีวิตถ้าต้องจำคุก
(๓) ถ้าจำเลยมีครรภ์
(๔) ถ้าจำเลยคลอดบุตรแล้วยังไม่ถึงสามปี และจำเลยต้องเลี้ยงดูบุตรนั้น
ในระหว่างทุเลาการบังคับอยู่นั้นศาลจะมีคำสั่งให้บุคคลดังกล่าวอยู่ในความควบคุมในสถานที่อันควรนอกจากเรือนจำหรือสถานที่ที่กำหนดไว้ในหมายจำคุกก็ได้ และให้ศาลกำหนดให้เจ้าพนักงานผู้มีหน้าที่จัดการตามหมายนั้นเป็นผู้มีหน้าที่และรับผิดชอบในการดำเนินการตามคำสั่ง
ลักษณะของสถานที่อันควรตามวรรคสองให้เป็นไปตามที่กำหนดในกฎกระทรวง* ซึ่งต้องกำหนดวิธีการควบคุมและบำบัดรักษาที่เหมาะสมกับสภาพของจำเลย และมาตรการเพื่อป้องกันการหลบหนี หรือความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นด้วย
เมื่อศาลมีคำสั่งตามวรรคหนึ่งแล้ว หากภายหลังจำเลยไม่ปฏิบัติตามวิธีการหรือมาตรการตามวรรคสามหรือพฤติการณ์ได้เปลี่ยนแปลงไป ให้ศาลมีอำนาจเปลี่ยนแปลงคำสั่งหรือให้ดำเนินการตามหมายจำคุกได้
ให้หักจำนวนวันที่จำเลยอยู่ในความควบคุมตามมาตรานี้ออกจากระยะเวลาจำคุกตามคำพิพากษา
มาตรา ๒๔๗ คดีที่จำเลยต้องประหารชีวิต ห้ามมิให้บังคับตามคำพิพากษาจนกว่าจะได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติในประมวลกฎหมายนี้ว่าด้วยอภัยโทษแล้ว
หญิงใดจะต้องประหารชีวิต ถ้ามีครรภ์อยู่ ให้รอไว้จนพ้นกำหนดสามปีนับแต่คลอดบุตรแล้ว ให้ลดโทษประหารชีวิตลงเหลือจำคุกตลอดชีวิต เว้นแต่เมื่อบุตรถึงแก่ความตายก่อนพ้นกำหนดเวลาดังกล่าว ในระหว่างสามปีนับแต่คลอดบุตร ให้หญิงนั้นเลี้ยงดูบุตรตามความเหมาะสมในสถานที่ที่สมควรแก่การเลี้ยงดูบุตรภายในเรือนจำ*
การประหารชีวิตให้ประหาร ณ ตำบลและเวลาที่เจ้าหน้าที่ในการนั้นจะเห็นสมควร
มาตรา ๒๔๘ ถ้าบุคคลซึ่งต้องคำพิพากษาให้ประหารชีวิตเกิดวิกลจริตก่อนถูกประหารชีวิต ให้รอการประหารชีวิตไว้ก่อนจนกว่าผู้นั้นจะหาย ขณะทุเลาการประหารชีวิตอยู่นั้น ศาลมีอำนาจยกมาตรา ๔๖ วรรค (๒) แห่งกฎหมายลักษณะอาญามาบังคับ
ถ้าผู้วิกลจริตนั้นหายภายหลังปีหนึ่งนับแต่วันคำพิพากษาถึงที่สุดให้ลดโทษประหารชีวิตลงเหลือจำคุกตลอดชีวิต
มาตรา ๒๔๙* คำพิพากษาหรือคำสั่งให้คืนหรือใช้ราคาทรัพย์สิน ค่าสินไหมทดแทนหรือค่าธรรมเนียมนั้น ให้บังคับตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
มาตรา ๒๕๐* ถ้าคำพิพากษามิได้ระบุไว้เป็นอย่างอื่น บุคคลทั้งปวงซึ่งต้องคำพิพากษาให้ลงโทษโดยได้กระทำความผิดฐานเดียวกัน ต้องรับผิดแทนกันและต่างกันในการคืนหรือใช้ราคาทรัพย์สินหรือใช้ค่าสินไหมทดแทน
มาตรา ๒๕๑* ถ้าต้องยึดทรัพย์สินคราวเดียวกันสำหรับใช้ค่าธรรมเนียมศาลค่าปรับราคาทรัพย์สิน หรือค่าสินไหมทดแทน แต่ทรัพย์สินของจำเลยไม่พอใช้ครบทุกอย่างให้นำจำนวนเงินสุทธิของทรัพย์สินนั้นใช้ตามลำดับดังต่อไปนี้
(๑) ค่าธรรมเนียม
(๒) ราคาทรัพย์สินหรือค่าสินไหมทดแทน
(๓) ค่าปรับ
มาตรา ๒๕๒ ในคดีอาญาทั้งหลายห้ามมิให้ศาลยุติธรรมเรียกค่าธรรมเนียมนอกจากที่บัญญัติไว้ในหมวดนี้
มาตรา ๒๕๓* ในคดีพนักงานอัยการเป็นโจทก์ซึ่งมีคำร้องให้คืนหรือใช้ราคาทรัพย์สินติดมากับฟ้องอาญาตามมาตรา ๔๓ หรือมีคำขอของผู้เสียหายขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนมิให้เรียกค่าธรรมเนียม เว้นแต่ในกรณีที่ศาลเห็นว่าผู้เสียหายเรียกเอาค่าสินไหมทดแทนสูงเกินสมควร หรือดำเนินคดีโดยไม่สุจริต ให้ศาลมีอำนาจสั่งให้ผู้เสียหายชำระค่าธรรมเนียมทั้งหมดหรือแต่เฉพาะบางส่วนภายในระยะเวลาที่ศาลกำหนดก็ได้ และถ้าผู้เสียหายเพิกเฉยไม่ปฏิบัติตามคำสั่งศาล ให้ถือว่าเป็นการทิ้งฟ้องในคดีส่วนแพ่งนั้น
ในกรณีที่มีคำพิพากษาหรือคำสั่งให้คืนหรือใช้ราคาทรัพย์สิน หรือค่าสินไหมทดแทนตามวรรคหนึ่ง ถ้าศาลยังต้องจัดการอะไรอีกเพื่อการบังคับ ผู้ที่จะได้รับคืนทรัพย์สินหรือราคาหรือค่าสินไหมทดแทน จักต้องเสียค่าธรรมเนียมดังคดีแพ่งสำหรับการต่อไปนั้น
มาตรา ๒๕๔* ภายใต้บังคับแห่งมาตรา ๒๕๓ วรรคหนึ่ง ในคดีที่ผู้เสียหายเรียกร้องให้คืนหรือใช้ราคาทรัพย์สิน หรือใช้ค่าสินไหมทดแทนซึ่งติดมากับฟ้องคดีอาญา หรือที่ฟ้องเป็นคดีแพ่งโดยลำพัง ให้เรียกค่าธรรมเนียมดังคดีแพ่ง
คดีในส่วนแพ่งตามวรรคหนึ่ง ถ้าผู้เสียหายซึ่งเป็นโจทก์ประสงค์จะขอยกเว้นค่าธรรมเนียมศาลในศาลชั้นต้น ชั้นอุทธรณ์ หรือชั้นฎีกา ให้ยื่นคำขอต่อศาลชั้นต้นที่ได้ยื่นฟ้องไว้พร้อมกับคำฟ้องคำฟ้องอุทธรณ์หรือคำฟ้องฎีกา แล้วแต่กรณี หากศาลชั้นต้นเห็นว่าคดีอาญาที่ฟ้องมีมูลและการเรียกเอาค่าสินไหมทดแทนนั้น ไม่เกินสมควรและเป็นไปด้วยความสุจริต ให้ศาลมีคำสั่งอนุญาตตามคำขอแต่ถ้าศาลมีคำสั่งยกเว้นค่าธรรมเนียมศาลให้แก่โจทก์แต่เฉพาะบางส่วน หรือมีคำสั่งยกคำขอ ก็ให้ศาลกำหนดเวลาให้โจทก์ชำระค่าธรรมเนียมดังกล่าว คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ให้ยกเว้นค่าธรรมเนียมศาลหรือยกคำขอให้มีผลสำหรับการดำเนินคดีตั้งแต่ชั้นศาลซึ่งคดีนั้นอยู่ในระหว่างพิจารณาไปจนกว่าคดีจะถึงที่สุด เว้นแต่ในกรณีที่พฤติการณ์แห่งคดีเปลี่ยนแปลงไป ศาลที่พิจารณาคดีจะแก้ไขเปลี่ยนแปลงคำสั่งนั้นได้ตามที่เห็นสมควร
ห้ามมิให้อุทธรณ์หรือฎีกาคำสั่งของศาลตามวรรคสอง
มาตรา ๒๕๕ ในคดีดังบัญญัติในมาตรา ๒๕๓ วรรค ๒ และมาตรา ๒๕๔ ถ้ามีคำขอ ศาลมีอำนาจสั่งให้ฝ่ายที่แพ้คดีใช้ค่าธรรมเนียมแทนอีกฝ่ายหนึ่งได้
มาตรา ๒๕๖* ให้ศาลจ่ายค่าพาหนะ ค่าป่วยการ และค่าเช่าที่พักที่จำเป็นและสมควรแก่พยานซึ่งมาศาลตามหมายเรียก ตามระเบียบที่คณะกรรมการบริหารศาลยุติธรรมกำหนดโดยความเห็นชอบจากกระทรวงการคลัง
พยานที่ได้รับค่าพาหนะ ค่าป่วยการหรือค่าเช่าที่พักในลักษณะเดียวกันตามกฎหมายอื่นแล้วไม่มีสิทธิได้รับตามมาตรานี้อีก
มาตรา ๒๕๗* ในคดีซึ่งราษฎรเป็นโจทก์ โจทก์จะต้องเสียค่าใช้จ่ายในการส่งสำเนาคำฟ้อง และหมายเรียกให้แก่จำเลยโดยค่าใช้จ่ายดังกล่าวจะต้องมีจำนวนไม่สูงเกินสมควร
มาตรา ๒๕๘* ให้นำบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งว่าด้วยค่าฤชาธรรมเนียมมาใช้บังคับโดยอนุโลม
มาตรา ๒๕๙* ผู้ต้องคำพิพากษาให้รับโทษอย่างใดๆ หรือผู้ที่มีประโยชน์เกี่ยวข้อง เมื่อคดีถึงที่สุดแล้ว ถ้าจะทูลเกล้า ฯ ถวายเรื่องราวต่อพระมหากษัตริย์ขอรับพระราชทานอภัยโทษ จะยื่นต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมก็ได้
มาตรา ๒๖๐* ผู้ถวายเรื่องราวซึ่งต้องจำคุกอยู่ในเรือนจำ จะยื่นเรื่องราวต่อพัศดีหรือผู้บัญชาการเรือนจำก็ได้ เมื่อได้รับเรื่องราวนั้นแล้ว ให้พัศดีหรือผู้บัญชาการเรือนจำออกใบรับให้แก่ผู้ยื่นเรื่องราว แล้วให้รีบส่งเรื่องราวนั้นไปยังรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม
มาตรา ๒๖๑* รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมมีหน้าที่ถวายเรื่องราวต่อพระมหากษัตริย์พร้อมทั้งถวายความเห็นว่าควรพระราชทานอภัยโทษหรือไม่
ในกรณีที่ไม่มีผู้ใดถวายเรื่องราว ถ้ารัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมเห็นเป็นการสมควร จะถวายคำแนะนำต่อพระมหาษัตริย์ขอให้พระราชทานอภัยโทษแก่ผู้ต้องคำพิพากษานั้นก็ได้
มาตรา ๒๖๑ ทวิ* ในกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นเป็นการสมควรจะถวายคำแนะนำต่อพระมหากษัตริย์ขอให้พระราชทานอภัยโทษแก่ผู้ต้องโทษก็ได้
การพระราชทานอภัยโทษตามวรรคหนึ่ง ให้ตราเป็นพระราชกฤษฎีกา
มาตรา ๒๖๒* ภายใต้บังคับแห่งมาตรา ๒๔๗ และ ๒๔๘ เมื่อคดีถึงที่สุด ผู้ใดต้องคำพิพากษาให้ประหารชีวิต ให้เจ้าหน้าที่นำตัวผู้นั้นไปประหารชีวิตเมื่อพ้นกำหนดหกสิบวันนับแต่วันฟังคำพิพากษา เว้นแต่ในกรณีที่มีการถวายเรื่องราวหรือคำแนะนำขอให้พระราชทานอภัยโทษตามมาตรา ๒๖๑ ก็ให้ทุเลาการประหารชีวิตไว้จนกว่าจะพ้นกำหนดหกสิบวันนับแต่วันที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมถวายเรื่องราวหรือคำแนะนำขึ้นไปนั้น แต่ถ้าทรงยกเรื่องราวนั้นเสีย ก็ให้จัดการประหารชีวิตก่อนกำหนดนี้ได้
เรื่องราวหรือคำแนะนำขอพระราชทานอภัยโทษแก่ผู้ต้องคำพิพากษาให้ประหารชีวิต ให้ถวายได้แต่ครั้งเดียวเท่านั้น
มาตรา ๒๖๓ เหตุที่มีเรื่องราวขอพระราชทานอภัยโทษในโทษอย่างอื่นนอกจากโทษประหารชีวิต ไม่เป็นผลให้ทุเลาการลงโทษนั้น
มาตรา ๒๖๔ เรื่องราวขอพระราชทานอภัยโทษอย่างอื่นซึ่งมิใช่โทษประหารชีวิต ถ้าถูกยกหนหนึ่งแล้ว จะยื่นใหม่อีกไม่ได้จนกว่าจะพ้นสองปีนับแต่วันถูกยกครั้งก่อน
มาตรา ๒๖๕ ในกรณีที่มีการอภัยโทษเด็ดขาดโดยไม่มีเงื่อนไข ห้ามมิให้บังคับโทษนั้น
ถ้าบังคับโทษไปบ้างแล้วให้หยุดทันที ถ้าเป็นโทษปรับที่ชำระแล้ว ให้คืนค่าปรับให้ไปทั้งหมด ถ้าการอภัยโทษเป็นแต่เพียงเปลี่ยนโทษหนักเป็นเบาหรือลดโทษ โทษที่เหลืออยู่ก็ให้บังคับไปได้
แต่การได้รับพระราชทานอภัยโทษ ไม่เป็นเหตุให้ผู้รับพ้นความรับผิดในการต้องคืนหรือใช้ราคาทรัพย์สินหรือค่าทดแทนตามคำพิพากษา
มาตรา ๒๖๖ เมื่อผู้ได้รับพระราชทานอภัยโทษเนื่องจากการกระทำความผิดอย่างหนึ่งถูกฟ้องว่ากระทำความผิดอีกอย่างหนึ่ง อภัยโทษนั้นย่อมไม่ตัดอำนาจศาลที่จะเพิ่มโทษ หรือไม่รอการลงอาญาตามกฎหมายลักษณะอาญาว่าด้วยกระทำผิดหลายครั้งไม่เข็ดหลาบ หรือว่าด้วยรอการลงอาญา
มาตรา ๒๖๗ บทบัญญัติในหมวดนี้ ให้นำมาบังคับโดยอนุโลมแก่เรื่องราวขอพระราชทานเปลี่ยนโทษหนักเป็นเบาหรือลดโทษ
บัญชีแนบท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
ความผิดในกฎหมายลักษณะอาญา ที่มาตรา ๗๙ อ้างถึง ซึ่งราษฎรมีอำนาจจับได้โดยไม่ต้องมีหมาย
ประทุษร้ายต่อพระบรมราชตระกูล มาตรา ๙๗ และ ๙๙
ขบถภายในพระราชอาณาจักร มาตรา ๑๐๑ - ๑๐๔
ขบถภายนอกพระราชอาณาจักร มาตรา ๑๐๕ - ๑๑๑
ความผิดต่อทางพระราชไมตรีกับต่างประเทศ มาตรา ๑๑๒
ทำอันตรายแก่ธง หรือเครื่องหมายของต่างประเทศ มาตรา ๑๑๕
ความผิดต่อเจ้าพนักงาน มาตรา ๑๑๙-๑๒๒ และ ๑๒๗
หลบหนีจากที่คุมขัง มาตรา ๑๖๓ - ๑๖๖
ความผิดต่อศาสนา มาตรา ๑๗๒ และ ๑๗๓
ก่อการจลาจล มาตรา ๑๘๓ และ ๑๘๔
กระทำให้เกิดภยันตรายแก่สาธารณชน มาตรา ๑๘๕ – ๑๙๔
กระทำให้สาธารณชนปราศจากความสะดวกในการไปมาและการส่งข่าวและของถึงกัน และกระทำให้สาธารณชนปราศจากความสุขสบาย
มาตรา ๑๙๖,๑๙๗ และ ๑๙๙
ปลอมแปลงเงินตรา มาตรา ๒๐๒ - ๒๐๕ และ ๒๑๐
ข่มขืนกระทำชำเรา มาตรา ๒๔๓ - ๒๔๖
ประทุษร้ายแก่ชีวิต มาตรา ๒๔๙ - ๒๕๑
ประทุษร้ายแก่ร่างกาย มาตรา ๒๕๔ - ๒๕๗
ความผิดฐานกระทำให้เสื่อมเสียอิสรภาพ มาตรา ๒๖๘, ๒๗๐ และ ๒๗๖
ลักทรัพย์ มาตรา ๒๘๘ - ๒๙๖
วิ่งราว ชิงทรัพย์ ปล้นทรัพย์ และโจรสลัด มาตรา ๒๙๗ - ๓๐๒
กรรโชก มาตรา ๓๐๓
ข้อ ๑ ให้ยกเลิกกฎกระทรวง (พ.ศ. ๒๕๔๓) ออกตามความในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
ข้อ ๒ ผู้ทำหน้าที่นักจิตวิทยาหรือนักสังคมสงเคราะห์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาต้องมีคุณสมบัติ ดังต่อไปนี้
(๑) มีอายุไม่ต่ำกว่ายี่สิบห้าปี
(๒) เป็นผู้สำเร็จการศึกษา ดังต่อไปนี้
(ก) กรณีนักจิตวิทยา ต้องเป็นผู้สำเร็จการศึกษาไม่ต่ำกว่าปริญญาตรีในสาขาใดสาขาหนึ่ง ดังต่อไปนี้
๑) ปริญญาศิลปศาสตร์ สาขาวิชาจิตวิทยา จิตวิทยาคลินิก จิตวิทยาพัฒนาการ หรือจิตวิทยาการปรึกษา และเคยปฏิบัติงานเกี่ยวกับเด็กและเยาวชนมาแล้วอย่างสม่ำเสมอไม่น้อยกว่าหนึ่งปีนับถึงวันยื่นคำขอโดยมีหนังสือรับรองจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
๒) ปริญญาแพทยศาสตร์ สาขากุมารเวชศาสตร์ จิตเวชศาสตร์ หรือจิตเวชศาสตร์เด็กและวัยรุ่น และเคยปฏิบัติงานเกี่ยวกับเด็กและเยาวชนมาแล้วอย่างสม่ำเสมอไม่น้อยกว่าหนึ่งปีนับถึงวันยื่นคำขอโดยมีหนังสือรับรองจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
๓) ปริญญาพยาบาลศาสตร์ สาขาการพยาบาล หรือการพยาบาลสุขภาพจิต และจิตเวช และเคยปฏิบัติงานเกี่ยวกับเด็กและเยาวชนมาแล้วอย่างสม่ำเสมอไม่น้อยกว่าหนึ่งปีนับถึงวันยื่นคำขอโดยมีหนังสือรับรองจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
๔) ปริญญาหรือเทียบเท่าปริญญาในสาขาอื่น และเคยปฏิบัติงานเกี่ยวกับเด็ก และเยาวชนมาแล้วอย่างสม่ำเสมอไม่น้อยกว่าสองปีนับถึงวันยื่นคำขอโดยมีหนังสือรับรองจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
(ข) กรณีนักสังคมสงเคราะห์ ต้องเป็นผู้สำเร็จการศึกษาไม่ต่ำกว่าปริญญาตรีสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ หรือปริญญาตรีในสาขาวิชาอื่น และเป็นผู้ได้รับอนุญาตให้ประกอบวิชาชีพสังคมสงเคราะห์รับอนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยวิชาชีพสังคมสงเคราะห์
(๓) ผ่านการอบรมตามหลักสูตรที่กระทรวงยุติธรรมร่วมกับสภาวิชาชีพสังคมสงเคราะห์ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และกระทรวงสาธารณสุขประกาศกำหนดมาแล้วไม่เกินสองปีนับถึงวันยื่นคำขอ
(๔) ไม่เป็นคนวิกลจริตหรือจิตฟั่นเฟือนไม่สมประกอบ หรือเป็นคนไร้ความสามารถหรือคนเสมือนไร้ความสามารถ
(๕) ไม่เป็นบุคคลล้มละลายหรือบุคคลล้มละลายทุจริต
(๖) ได้ขึ้นทะเบียนไว้กับกระทรวงยุติธรรมตามกฎกระทรวงนี้
ข้อ ๓ ให้ผู้ซึ่งมีคุณสมบัติตามข้อ ๒ (๑) (๒) (๓) (๔) และ (๕) ยื่นคําขอขึ้นทะเบียน เป็นผู้ทําหน้าที่นักจิตวิทยาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาหรือนักสังคมสงเคราะห์ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาตามแบบพิมพ์คําขอท้ายกฎกระทรวงด้วยตนเองต่อ เจ้าหน้าที่ ณ สํานักกฎหมาย สํานักงานปลัดกระทรวง กระทรวงยุติธรรม หรือสํานักงานยุติธรรมจังหวัด หรือส่งทางไปรษณีย์ลงทะเบียนถึงสํานักกฎหมาย สํานักงานปลัดกระทรวง กระทรวงยุติธรรม พร้อมกับหลักฐานแสดงคุณวุฒิและประสบการณ์การทํางาน รวมทั้งหลักฐานอื่นตามที่กําหนดในคําขอ หรือด้วยการบันทึกข้อมูลลงในคําขอผ่านทางเว็บไซต์สํานักกฎหมาย สํานักงานปลัดกระทรวง กระทรวงยุติธรรม แล้วแต่กรณี
กรณีที่ยื่นคําขอด้วยการบันทึกข้อมูลลงในคําขอผ่านทางเว็บไซต์สํานักกฎหมาย สํานักงาน ปลัดกระทรวง กระทรวงยุติธรรมตามวรรคหนึ่ง ผู้ยื่นคําขอต้องส่งคําขอพร้อมกับหลักฐานแสดงคุณวุฒิ และประสบการณ์การทํางาน รวมทั้งหลักฐานอื่นตามที่กําหนดในคําขอ ไปยังเจ้าหน้าที่สํานักกฎหมาย สํานักงานปลัดกระทรวง กระทรวงยุติธรรม ภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่ผู้ยื่นคําขอบันทึกข้อมูลลงในคําขอ ผ่านทางเว็บไซต์สํานักกฎหมาย สํานักงานปลัดกระทรวง กระทรวงยุติธรรม เพื่อเจ้าหน้าที่จะได้ พิจารณาดําเนินการต่อไป
หากผู้ยื่นคําขอผ่านทางเว็บไซต์สํานักกฎหมาย สํานักงานปลัดกระทรวง กระทรวงยุติธรรม ไม่ดําเนินการตามวรรคสอง ให้ถือว่าผู้ยื่นคําขอไม่ประสงค์ที่จะยื่นคําขออีกต่อไป
ข้อ ๔ เมื่อได้รับคําขอตามข้อ ๓ แล้ว ให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบข้อความในคําขอ เมื่อเห็นว่า มีข้อความและหลักฐานครบถ้วนแล้ว ให้ลงทะเบียนรับคําขอพร้อมกับออกใบรับลงนามเจ้าหน้าที่ให้แก่ ผู้ยื่นคําขอ
ในกรณีที่ข้อความหรือหลักฐานตามวรรคหนึ่งมีรายละเอียดไม่ครบถ้วน ให้เจ้าหน้าที่แจ้งให้ ผู้ยื่นคําขอทราบในใบรับคําขอ และให้ผู้ยื่นคําขอแก้ไขเพิ่มเติมข้อความหรือหลักฐานตามที่ได้รับแจ้ง ให้ครบถ้วน และส่งให้เจ้าหน้าที่ภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ผู้ยื่นคําขอได้รับแจ้ง หากผู้ยื่นคําขอไม่แก้ไข หรือไม่ส่งข้อความหรือหลักฐานที่เจ้าหน้าที่แจ้งให้ทราบภายในระยะเวลาที่กําหนด ให้ถือว่าผู้ยื่นคําขอนั้น ไม่ประสงค์ที่จะยื่นคําขออีกต่อไป
ในการดําเนินการตามวรรคหนึ่งและวรรคสองนั้น เจ้าหน้าที่จะมอบหมายให้ข้าราชการ สํานักกฎหมาย สํานักงานปลัดกระทรวง กระทรวงยุติธรรม ที่เห็นสมควรเป็นผู้ดําเนินการแทนก็ได้