ข้อ ๕ ในกรณีที่ปลัดกระทรวงยุติธรรมมีคําสั่งไม่รับขึ้นทะเบียนผู้ยื่นคําขอ ให้แสดงเหตุผล ในการมีคําสั่งดังกล่าวด้วย
ข้อ ๖ ในกรณีที่ปลัดกระทรวงยุติธรรมมีคําสั่งไม่รับขึ้นทะเบียนตามข้อ ๕ ให้เจ้าหน้าที่ มีหนังสือแจ้งให้ผู้ยื่นคําขอทราบคําสั่งนั้นโดยทางไปรษณีย์ลงทะเบียนภายในสามวันทําการนับแต่วันที่ ปลัดกระทรวงยุติธรรมมีคําสั่ง
ข้อ ๗ ภายในสามวันทำการนับแต่วันที่ปลัดกระทรวงยุติธรรมมีคำสั่งรับขึ้นทะเบียนให้เจ้าหน้าที่มีหนังสือแจ้งให้ผู้ยื่นคำขอทราบคำสั่งนั้นโดยทางไปรษณีย์ลงทะเบียน และมีหนังสือแจ้งรายชื่อ ที่อยู่ และหมายเลขโทรศัพท์ติดต่อของผู้ได้รับการขึ้นทะเบียนให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงมหาดไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และสำนักงานศาลยุติธรรมทราบ
การแจ้งรายชื่อ ที่อยู่ และหมายเลขโทรศัพท์ติดต่อของผู้ได้รับการขึ้นทะเบียนตามวรรคหนึ่ง ให้รวมถึงการที่เจ้าหน้าที่บันทึกข้อมูลผ่านทางเว็บไซต์สำนักกฎหมาย สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงยุติธรรม เพื่อให้ผู้ยื่นคำขอตรวจสอบรายชื่อผู้ได้รับการขึ้นทะเบียนด้วย
ข้อ ๘ เมื่อได้ขึ้นทะเบียนผู้ใดเป็นผู้ทำหน้าที่นักจิตวิทยาหรือนักสังคมสงเคราะห์ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาแล้ว ให้ปลัดกระทรวงยุติธรรมออกบัตรประจำตัวผู้ทำหน้าที่นักจิตวิทยาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา หรือบัตรประจำตัวผู้ทำหน้าที่นักสังคมสงเคราะห์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาตามแบบท้ายกฎกระทรวงให้แก่ผู้นั้นไว้เป็นหลักฐาน
ข้อ ๙ บัตรประจำตัว ให้ใช้ได้ห้าปีนับแต่วันที่ออกบัตรประจำตัว
ข้อ ๑๐ ในกรณีที่ผู้ได้รับการขึ้นทะเบียนประสงค์จะทำหน้าที่ต่อไป เมื่อบัตรประจำตัวจะหมดอายุ ให้ผู้นั้นยื่นคำขอต่ออายุบัตรประจำตัวผู้ทำหน้าที่นักจิตวิทยาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาหรือนักสังคมสงเคราะห์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาตามแบบท้ายกฎกระทรวงด้วยตนเองต่อเจ้าหน้าที่ ณ สำนักกฎหมาย สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงยุติธรรมหรือด้วยการบันทึกข้อมูลลงในคำขอต่ออายุบัตรประจำตัวผ่านทางเว็บไซต์สำนักกฎหมาย สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงยุติธรรม แล้วแต่กรณี ภายในสี่สิบห้าวันก่อนวันที่บัตรประจำตัวหมดอายุ
การต่ออายุบัตรประจำตัวตามวรรคหนึ่ง ให้ใช้ได้ห้าปีนับแต่วันที่บัตรประจำตัวเดิมหมดอายุ โดยไม่ต้องผ่านการอบรมตามข้อ ๒ (๓) อีก แต่กระทรวงยุติธรรมอาจกำหนดให้ผู้ได้รับการขึ้นทะเบียนที่ขอต่ออายุบัตรประจำตัวผ่านการอบรมตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กระทรวงยุติธรรมกำหนดได้
ให้นำความในข้อ ๔ ข้อ ๕ ข้อ ๖ ข้อ ๗ และข้อ ๘ มาใช้บังคับกับการต่ออายุบัตรประจำตัวโดยอนุโลม
ข้อ ๑๑ ให้ปลัดกระทรวงยุติธรรมมีคำสั่งให้ลบชื่อผู้ได้รับการขึ้นทะเบียนออกจากทะเบียนในกรณีดังต่อไปนี้
(๑) เมื่อผู้ได้รับการขึ้นทะเบียนขอลาออก
(๒) เมื่อผู้ได้รับการขึ้นทะเบียนขาดคุณสมบัติอย่างหนึ่งอย่างใดตามข้อ ๒ (๑) (๒) (๓) (๔) หรือ (๕)
(๓) เมื่อผู้ได้รับการขึ้นทะเบียนไม่ยื่นคำขอต่ออายุบัตรประจำตัวภายในสี่สิบห้าวันก่อนวันที่บัตรประจำตัวหมดอายุตามข้อ ๑๐ วรรคหนึ่ง
(๔) เมื่อได้รับแจ้งจากองค์กรควบคุมการประกอบวิชาชีพของผู้ได้รับการขึ้นทะเบียนว่าผู้ได้รับการขึ้นทะเบียนถูกเพิกถอนใบอนุญาตให้ประกอบวิชาชีพ
(๕) เมื่อผู้ได้รับการขึ้นทะเบียนปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริตหรือบกพร่องต่อหน้าที่อย่างร้ายแรง
(๖) เมื่อผู้ได้รับการขึ้นทะเบียนถูกจำคุกโดยคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก เว้นแต่เป็นโทษสำหรับความผิดที่กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ
เมื่อเหตุแห่งการลบชื่อตาม (๑) (๒) (๓) (๔) และ (๕) หมดลง ผู้ถูกลบชื่อดังกล่าวสามารถยื่นคำขอใหม่ได้
ในกรณีเหตุแห่งการลบชื่อตาม (๖) หมดลง ผู้ที่ถูกลบชื่อดังกล่าวสามารถยื่นคำขอใหม่ได้เมื่อพ้นห้าปีนับแต่วันที่ปลัดกระทรวงยุติธรรมมีคำสั่งให้ลบชื่อจากทะเบียน
ข้อ ๑๒ ให้ผู้ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นนักจิตวิทยาหรือนักสังคมสงเคราะห์ตามกฎกระทรวง (พ.ศ. ๒๕๔๓) ออกตามความในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาอยู่ในวันก่อนวันที่กฎกระทรวงนี้ใช้บังคับ ยังคงปฏิบัติหน้าที่นักจิตวิทยาหรือนักสังคมสงเคราะห์ตามกฎกระทรวงนี้ต่อไปได้จนกว่าบัตรประจำตัวที่ออกให้ตามระเบียบกระทรวงยุติธรรมว่าด้วยการขอและรับขึ้นทะเบียนเป็นผู้ทำหน้าที่นักจิตวิทยาหรือนักสังคมสงเคราะห์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา พ.ศ. ๒๕๔๓ จะหมดอายุ
ข้อ ๑๓ บัตรประจำตัวที่ได้ออกก่อนวันที่กฎกระทรวงนี้ใช้บังคับ ให้ยังคงใช้ได้ต่อไปจนกว่าผู้ถือบัตรประจำตัวดังกล่าวจะขอมีบัตรใหม่หรือบัตรประจำตัวหมดอายุ
ข้อ ๑ บุคคลดังต่อไปนี้ มีสิทธิยื่นคำร้องขอคืนสิ่งของที่เจ้าพนักงานยึดไว้ได้
(๑) เจ้าของหรือผู้มีกรรมสิทธิ์
(๒) ผู้ซึ่งมีสิทธิในการใช้ ครอบครอง ยึดหน่วง หรือสิทธิเรียกร้องอื่นตามที่กฎหมายรับรอง รวมถึงผู้เช่าซื้อ ทายาทผู้มีสิทธิรับมรดก หรือผู้จัดการมรดก
ผู้ยื่นคำร้องจะต้องแสดงหลักฐานแห่งการเป็นเจ้าของ หรือเอกสารหรือหลักฐานใด ๆ เพื่อแสดงถึงสิทธิที่ตนมีอยู่เหนือสิ่งของนั้น ในกรณีผู้ยื่นคำร้องมีสิทธิในสิ่งของซึ่งมีเจ้าของกรรมสิทธิ์หลายรายรวมกัน จะต้องแสดงเอกสารหลักฐานแสดงความยินยอมในการร้องขอคืนสิ่งของจากเจ้าของกรรมสิทธิ์ทุกราย
ข้อ ๒ คำร้องต้องมีรายละเอียดอย่างน้อย ดังต่อไปนี้
(๑) สิ่งของที่ประสงค์จะขอคืน
(๒) เหตุผล ความจำเป็น และความเร่งด่วน ที่ร้องขอคืนสิ่งของไปดูแลรักษาหรือใช้ประโยชน์
(๓) ระยะเวลาที่ประสงค์จะนำสิ่งของไปดูแลรักษาหรือใช้ประโยชน์
(๔) ผู้ที่จะดูแลรักษาหรือใช้ประโยชน์จากสิ่งของ
(๕) สถานที่ที่นำสิ่งของไปดูแลรักษาหรือใช้ประโยชน์
(๖) หลักฐานในการแสดงสิทธิตามข้อ ๑
ข้อ ๓ ในกรณีที่คดีอยู่ในระหว่างการสอบสวนของพนักงานสอบสวน ให้ ยื่นคําร้องต่อ พนักงานสอบสวน หากสํานวนการสอบสวนได้ส่งไปยังพนักงานอัยการแล้ว ให้ยื่นคําร้องต่อ พนักงานอัยการ
ข้อ ๔ เมื่อได้รับคําร้องแล้ว ให้พนักงานสอบสวนหรือพนักงานอัยการ แล้วแต่กรณี มีคําสั่งโดยไม่ชักช้า
การสั่งคืนสิ่งของจะต้องไม่กระทบถึงการใช้สิ่งของนั้นเป็นพยานหลักฐานเพื่อพิสูจน์ข้อเท็จจริงในภายหลัง
ให้พนักงานสอบสวนหรือพนักงานอัยการ แล้วแต่กรณี แจ้งให้ ผู้มีสิทธิยื่นคําร้องตามข้อ ๑ วรรคหนึ่ง ผู้ต้องหา หรือผู้เสียหาย ทราบถึงการยื่นคําร้องขอคืนสิ่งของเท่าที่จะทําได้
ในการพิจารณาคําร้อง ให้พนักงานสอบสวนหรือพนักงานอัยการ แล้วแต่กรณี คํานึงถึงเหตุ ดังต่อไปนี้
(๑) เหตุผล ความจําเป็น และความเร่งด่วนที่ต้องนําสิ่งของไปดูแลรักษาหรือใช้ประโยชน์
(๒) ความเสี่ยงภัยหรือเสี่ยงต่อความเสียหาย สูญหาย ถูกทําลาย ปลอม หรือแก้ไข เปลี่ยนแปลง ที่อาจเกิดกับสิ่งของที่จะนําไปดูแลรักษาหรือใช้ประโยชน์
(๓) ความน่าเชื่อถือของหลักประกัน
(๔) ความน่าเชื่อถือของผู้ที่จะนําสิ่งของไปดูแลรักษาหรือใช้ประโยชน์
(๕) ระยะเวลาที่จะนําสิ่งของไปดูแลรักษาหรือใช่ประโยชน์
(๖) คําคัดค้านของผู้มีสิทธิยื่นคําร้องตามข้อ ๑ วรรคหนึ่ง คําคัดค้านของผู้ต้องหา หรือคําคัดค้านของผู้เสียหาย
๗) พฤติการณ์ต่าง ๆ แห่งคดี
ข้อ ๕ ในกรณีที่มีผู้ยื่นคำร้องหลายรายขอคืนสิ่งของอย่างเดียวกันโดยอ้างสิทธิต่างกันให้พนักงานสอบสวนหรือพนักงานอัยการ แล้วแต่กรณี มีอำนาจกำหนดให้ผู้ยื่นคำร้องดำเนินการอย่างหนึ่งอย่างใดตามที่เห็นสมควรเพื่อพิสูจน์สิทธิของตนก่อนมีคำสั่ง
เมื่อมีเหตุอันควรเชื่อว่าผู้ยื่นคำร้องรายใดเป็นเจ้าของหรือผู้มีสิทธิเหนือสิ่งของดีกว่าผู้อื่น ให้พนักงานสอบสวนหรือพนักงานอัยการ แล้วแต่กรณี มีคำสั่งคืนสิ่งของแก่ผู้นั้น
ข้อ ๗ ในกรณีที่สิ่งของที่ขอคืนมิใช่พยานหลักฐานที่สำคัญในคดีและมีมูลค่าหรือราคาไม่สูง พนักงานสอบสวนหรือพนักงานอัยการ แล้วแต่กรณี อาจมีคำสั่งคืนสิ่งของนั้นแก่ผู้ยื่นคำร้องโดยไม่มีประกันก็ได้
ข้อ ๘ ก่อนส่งมอบสิ่งของที่มีคำสั่งให้คืน ให้พนักงานสอบสวนหรือพนักงานอัยการ แล้วแต่กรณี ดำเนินการ ดังต่อไปนี้
(๑) กรณีที่ไม่มีประกัน ให้ผู้ยื่นคำร้องทำสัญญารับมอบสิ่งของไปดูแลรักษาหรือใช้ประโยชน์และสาบานหรือปฏิญาณตนว่าจะคืนสิ่งของเมื่อพนักงานสอบสวนหรือพนักงานอัยการ แล้วแต่กรณี สั่งให้ส่งคืนสิ่งของ
(๒) กรณีที่มีประกัน ให้ผู้ยื่นคำร้องทำสัญญารับมอบสิ่งของไปดูแลรักษาหรือใช้ประโยชน์และทำสัญญาประกัน
(๓) กรณีที่มีประกันและหลักประกัน ให้ผู้ยื่นคำร้องทำสัญญารับมอบสิ่งของไปดูแลรักษาหรือใช้ประโยชน์และทำสัญญาประกัน พร้อมทั้งส่งมอบหลักประกัน
สัญญาตามวรรคหนึ่ง อย่างน้อยต้องระบุรายละเอียดเกี่ยวกับผู้ยื่นคำร้อง ระยะเวลาและสถานที่ที่อนุญาตให้นำสิ่งของไปดูแลรักษาหรือใช้ประโยชน์ ข้อความยินยอมชดใช้เงินตามจำนวนหรืออัตราที่กำหนดในกรณีที่สิ่งของนั้นชำรุดบกพร่องหรือมิอาจส่งคืนได้ และประกันหรือหลักประกันสำหรับในกรณีที่เป็นสัญญาประกัน
ข้อ ๙ การเรียกประกันหรือหลักประกันและการกำหนดเงื่อนไขจะต้องมีความเหมาะสมกับความสำคัญของพยานหลักฐานในคดีและมูลค่าของสิ่งของ โดยไม่สร้างภาระแก่ผู้ยื่นคำร้องจนเกินควรแก่กรณี
การกำหนดมูลค่าของสิ่งของเพื่อการเรียกประกันหรือหลักประกัน ให้พนักงานสอบสวนหรือพนักงานอัยการ แล้วแต่กรณี คำนึงถึงราคาประเมินของทางราชการ หรือมูลค่าหรือราคาตามท้องตลาดของสิ่งของลักษณะเดียวกันนั้น
ในกรณีที่มูลค่าของหลักประกันลดลงหรือต่ำไป ให้พนักงานสอบสวนหรือพนักงานอัยการ แล้วแต่กรณี แจ้งให้ผู้ได้รับอนุญาตหาหลักประกันมาเพิ่มให้ครบมูลค่าเดิมในขณะทำสัญญาประกันหรือให้ดีกว่าเดิม หรือเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขให้มีความเหมาะสมยิ่งขึ้นได้
ข้อ ๑๐ หลักทรัพย์ดังต่อไปนี้ ให้ใช้เป็นหลักประกันได้
(๑) เงินสด
(๒) ที่ดินมีโฉนดหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์
(๓) ที่ดินมีโฉนดหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์และสิ่งปลูกสร้าง
(๔) ห้องชุดมีหนังสือแสดงกรรมสิทธิ์
(๕) พันธบัตรรัฐบาลไทย
(๖) หุ้นหรือหุ้นกู้ที่ออกโดยนิติบุคคลที่มีกฎหมายเฉพาะจัดตั้งขึ้น
(๗) หลักทรัพย์มีค่าอย่างอื่นที่กำหนดราคามูลค่าที่แน่นอน เช่น สลากออมสิน บัตรหรือสลากออมทรัพย์ทวีสินของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ใบรับเงินฝากประจำธนาคาร ตั๋วแลกเงินที่ธนาคารเป็นผู้จ่ายและธนาคารผู้จ่ายได้รับรองตลอดไปแล้ว ตั๋วสัญญาใช้เงินที่ธนาคารเป็นผู้ออกตั๋ว เช็คที่ธนาคารเป็นผู้สั่งจ่ายและรับรองซึ่งสามารถเรียกเก็บเงินได้ในวันที่ทำสัญญาประกัน หนังสือรับรองของธนาคารหรือบริษัทประกันภัยเพื่อชำระเบี้ยปรับแทนกรณีผิดสัญญาประกัน หรือหลักทรัพย์อื่นที่มีลักษณะทำนองเดียวกัน
ในกรณีที่ผู้ยื่นคำร้องใช้หลักทรัพย์ตาม (๒) (๓) หรือ (๔) เป็นหลักประกัน ให้นำโฉนดที่ดิน หนังสือรับรองการทำประโยชน์ หรือหนังสือแสดงกรรมสิทธิ์ห้องชุด และหนังสือรับรองราคาประเมินของสำนักงานที่ดินมาแสดง หากนำสิ่งปลูกสร้างบนที่ดินมาเป็นหลักประกันด้วยต้องแสดงสำเนาทะเบียนบ้านและหนังสือประเมินราคาสิ่งปลูกสร้างที่น่าเชื่อถือประกอบด้วย
ข้อ ๑๑ กรณีมีบุคคลเป็นประกัน บุคคลผู้เป็นประกันต้องมีคุณสมบัติ ดังต่อไปนี้
(๑) เป็นผู้มีตำแหน่งหน้าที่การงานหรือมีรายได้แน่นอน เช่น เป็นข้าราชการ ข้าราชการบำนาญ สมาชิกรัฐสภา ผู้บริหารท้องถิ่น สมาชิกสภาท้องถิ่น พนักงานส่วนท้องถิ่น พนักงานรัฐวิสาหกิจ พนักงานของรัฐประเภทอื่น ๆ ลูกจ้างของทางราชการหรือรัฐวิสาหกิจ ผู้บริหารพรรคการเมือง หรือทนายความ และ
(๒) เป็นผู้มีความสัมพันธ์กับผู้ยื่นคำร้อง เช่น เป็นผู้บุพการี ผู้สืบสันดาน สามี ภริยา ญาติพี่น้อง ผู้บังคับบัญชา นายจ้าง บุคคลที่เกี่ยวพันโดยทางสมรส หรือบุคคลที่พนักงานสอบสวน หรือพนักงานอัยการ แล้วแต่กรณี เห็นว่ามีความสัมพันธ์ใกล้ชิดเสมือนเป็นญาติพี่น้อง หรือมีความสัมพันธ์ในทางอื่นที่พนักงานสอบสวนหรือพนักงานอัยการ แล้วแต่กรณี เห็นสมควรให้ประกันได้
ข้อ ๑๒ กรณีมีบุคคลเป็นประกัน ให้พิจารณาตามหลักเกณฑ์ ดังต่อไปนี้
(๑) ให้บุคคลผู้เป็นประกันเสนอหนังสือรับรองจากต้นสังกัดหรือนายจ้าง หรือหลักฐานอื่นที่เชื่อถือได้ และหากบุคคลผู้เป็นประกันมีคู่สมรส ให้แสดงหลักฐานการยินยอมของคู่สมรสด้วย
(๒) ให้ทำสัญญาประกันได้ในวงเงินไม่เกินสิบเท่าของอัตราเงินเดือนหรือรายได้เฉลี่ยต่อเดือน
(๓) การสั่งคืนสิ่งของให้พิจารณาจากเงินเดือนหรือรายได้ แต่หากวงเงินประกันมียอดสูงกว่าวงเงินที่ผู้นั้นมีสิทธิประกันได้ พนักงานสอบสวนหรือพนักงานอัยการ แล้วแต่กรณี อาจกำหนดให้ผู้ยื่นคำร้องวางเงินหรือหลักทรัพย์อื่นเพิ่มเติมให้เพียงพอกับวงเงินประกันนั้นได้ หรืออาจให้มีบุคคลผู้เป็นประกันหลายคนร่วมกันทำสัญญาประกันโดยใช้วงเงินของแต่ละคนรวมกันได้
ข้อ ๑๓ ในกรณีที่สิ่งของที่ขอคืนเป็นพยานหลักฐานที่สำคัญในคดี ก่อนคืนสิ่งของให้แก่ผู้ได้รับอนุญาต พนักงานสอบสวนหรือพนักงานอัยการ แล้วแต่กรณี จะต้องจัดให้มีการตรวจพิสูจน์ บันทึกรายละเอียด ร่องรอย หรือตำหนิรูปพรรณของสิ่งของ ถ่ายภาพ หรือดำเนินการอย่างหนึ่งอย่างใดเพื่อเป็นหลักฐานยืนยันความถูกต้องแท้จริงของสิ่งของนั้นเพื่อใช้ในการพิสูจน์ทางคดี โดยให้ผู้ได้รับอนุญาตลงลายมือชื่อรับรองไว้
ข้อ ๑๔ ในกรณีที่มีการกำหนดเงื่อนไขอย่างหนึ่งอย่างใดให้ผู้ได้รับอนุญาตปฏิบัติหากผู้ได้รับอนุญาตฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขที่กำหนด พนักงานสอบสวนหรือพนักงานอัยการ แล้วแต่กรณี อาจสั่งให้ส่งคืนสิ่งของนั้นทันที หรือจะกำหนดเงื่อนไขใด ๆ เพิ่มเติมก็ได้
ข้อ ๑๕ ให้พนักงานสอบสวนหรือพนักงานอัยการ แล้วแต่กรณี แจ้งให้ผู้ได้รับอนุญาตส่งคืนสิ่งของ เมื่อปรากฏว่า
(๑) มีเหตุจำเป็นต้องใช้สิ่งของนั้นในการสอบสวน หรือแสดงเป็นพยานหลักฐานในการพิจารณาคดี
(๒) ผู้ได้รับอนุญาตผิดสัญญารับมอบสิ่งของไปดูแลรักษาหรือใช้ประโยชน์ หรือผิดสัญญาประกัน
(๓) คดีถึงที่สุดหรือคดีเสร็จเด็ดขาด และศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งให้ริบหรือให้คืนแก่บุคคลอื่น
(๔) มีการนำสิ่งของไปใช้ในการกระทำความผิดอีก
(๕) ต้องคืนสิ่งของให้แก่เจ้าของหรือผู้มีสิทธิเหนือสิ่งของดีกว่า
(๖) ครบกำหนดระยะเวลาที่ได้รับอนุญาต
(๗) มีเหตุจำเป็นอย่างอื่นเพื่อป้องกันไม่ให้สิ่งของเสียหาย สูญหาย ถูกทำลาย ปลอมหรือแก้ไขเปลี่ยนแปลง
ข้อ ๑๖ ผู้ได้รับอนุญาตจะส่งคืนสิ่งของก่อนครบกำหนดระยะเวลาที่ได้รับอนุญาตก็ได้
ข้อ ๑๗ ก่อนครบกำหนดระยะเวลาที่ได้รับอนุญาตให้นำสิ่งของไปดูแลรักษาหรือใช้ประโยชน์ ถ้าผู้ได้รับอนุญาตเห็นว่ามีความจำเป็นที่จะต้องนำสิ่งของนั้นไปดูแลรักษาหรือใช้ประโยชน์ต่อไป ให้ผู้ได้รับอนุญาตนั้นมีหนังสือถึงพนักงานสอบสวนหรือพนักงานอัยการ แล้วแต่กรณี ก่อนครบกำหนดระยะเวลาดังกล่าวไม่น้อยกว่าเจ็ดวัน แจ้งถึงเหตุผลและความจำเป็นที่ต้องนำสิ่งของไปดูแลรักษาหรือใช้ประโยชน์ต่อไป
ให้พนักงานสอบสวนหรือพนักงานอัยการ แล้วแต่กรณี พิจารณาเหตุผลและความจำเป็นตามวรรคหนึ่ง โดยคำนึงถึงหลักเกณฑ์ตามข้อ ๔
ข้อ ๑ ในกฎกระทรวงนี้
“การขัง” หมายความว่า การขังผู้ต้องหาหรือจำเลย การจำคุกผู้ซึ่งต้องจำคุกตามคำพิพากษาถึงที่สุด หรือการควบคุมจำเลยที่ได้รับทุเลาการบังคับให้จำคุก
“สถานที่ขัง” หมายความว่า สถานที่อื่นนอกจากสถานีตำรวจหรือสถานที่ควบคุมผู้ต้องหาของพนักงานสอบสวน เรือนจำ หรือสถานที่ที่กำหนดไว้ในหมายจำคุก ที่ตั้งขึ้นเพื่อใช้ขังผู้ต้องหาหรือจำเลย จำคุกผู้ซึ่งต้องจำคุกตามคำพิพากษาถึงที่สุด หรือควบคุมจำเลยที่ได้รับทุเลาการบังคับให้จำคุกโดยอาจเป็นสถานที่ของราชการหรือของเอกชน
“ผู้ถูกขัง” หมายความว่า
(๑) ผู้ต้องหาหรือจำเลยที่อยู่ระหว่างการสอบสวนหรือการพิจารณาคดี ซึ่งศาลมีคำสั่งขังตามมาตรา ๘๙/๑
(๒) ผู้ซึ่งต้องจำคุกตามคำพิพากษาถึงที่สุดที่ได้รับโทษจำคุกมาแล้วไม่น้อยกว่าหนึ่งในสามของกำหนดโทษตามที่ระบุไว้ในหมายศาลที่ออกตามคำพิพากษานั้น หรือไม่น้อยกว่าสิบปี ในกรณีต้องโทษจำคุกเกินสามสิบปีขึ้นไป หรือจำคุกตลอดชีวิต ตามมาตรา ๘๙/๒ วรรคหนึ่ง (๑) (๓) จำเลยที่อยู่ระหว่างการทุเลาการบังคับให้จำคุกตามมาตรา ๒๔๖
“ผู้ดูแลสถานที่ขัง” หมายความว่า ผู้ซึ่งศาลมีคำสั่งแต่งตั้งให้มีอำนาจหน้าที่ในการกำกับ ดูแลและรับผิดชอบผู้ถูกขัง โดยอาจเป็นเจ้าพนักงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรมหรือหน่วยงานอื่นของรัฐ
ข้อ ๒ ให้ปลัดกระทรวงยุติธรรมมีอำนาจออกระเบียบกระทรวงยุติธรรมเพื่อใช้บังคับแก่สถานที่ขังเป็นการทั่วไปโดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา
ให้ผู้ดูแลสถานที่ขังมีอำนาจออกระเบียบหรือข้อบังคับภายในเพื่อใช้เฉพาะสถานที่ขังแต่ละแห่งตามความเหมาะสมโดยไม่ขัดหรือแย้งกับกฎกระทรวงฉบับนี้และระเบียบกระทรวงยุติธรรมตามวรรคหนึ่ง
ความในข้อนี้มิให้กระทบกับระเบียบหรือข้อบังคับที่ผู้ดูแลสถานที่ขังหรือหน่วยงานของผู้ดูแลสถานที่ขังได้ออกไว้ตามกฎหมายอื่น
ข้อ ๓ สถานที่ขังต้องมีลักษณะ ดังต่อไปนี้
(๑) มีอาณาเขตที่แน่นอนและสามารถตรวจสอบการเข้าออกของบุคคลได้
(๒) มีอาคารสถานที่ที่มั่นคง แข็งแรง และมีอุปกรณ์เพียงพอที่จะควบคุมดูแลบุคคลให้อยู่ในสถานที่นั้น
(๓) มีช่องทางเข้าออกเท่าที่จำเป็นและจัดให้มีระบบการรักษาความปลอดภัยที่เหมาะสม
ข้อ ๔ การกำหนดให้สถานที่ใดเป็นสถานที่ขังตามกฎกระทรวงนี้ และการยุบเลิกให้เป็นไปตามประกาศที่ปลัดกระทรวงยุติธรรมกำหนดโดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา
ในกรณีมีเหตุจำเป็นเพื่อประโยชน์โดยรวมแก่ผู้ถูกขัง ปลัดกระทรวงยุติธรรมอาจกำหนดให้สถานที่ใดที่ขาดลักษณะหนึ่งลักษณะใดตามข้อ ๓ เป็นสถานที่ขังได้
ข้อ ๖ ในกรณีที่ปลัดกระทรวงยุติธรรมมีคําสั่งไม่รับขึ้นทะเบียนตามข้อ ๕ ให้เจ้าหน้าที่ มีหนังสือแจ้งให้ผู้ยื่นคําขอทราบคําสั่งนั้นโดยทางไปรษณีย์ลงทะเบียนภายในสามวันทําการนับแต่วันที่ ปลัดกระทรวงยุติธรรมมีคําสั่ง