ข้อ ๗ ให้ผู้ดูแลสถานที่ขังตรวจสอบความถูกต้องของตัวผู้ถูกขัง โดยพิจารณาจากหมายขัง หมายจำคุก หรือคำสั่งอนุญาตของศาลให้ทุเลาการบังคับให้จำคุก
กรณีที่ผู้ถูกขังถูกส่งตัวมาจากเรือนจำ ให้ผู้ดูแลสถานที่ขังตรวจสอบความถูกต้องของเอกสารตามวรรคหนึ่ง ประกอบกับทะเบียนรายตัวของผู้ถูกขัง
ข้อ ๘ ให้ผู้ดูแลสถานที่ขังจัดแยกผู้ถูกขังตามความเหมาะสม โดยพิจารณาจากความพร้อมของสถานที่ขัง และลักษณะเฉพาะตัวและลักษณะคดีของผู้ถูกขัง
ข้อ ๙ ให้ผู้ดูแลสถานที่ขังจัดทำทะเบียนและสมุดประจำตัวผู้ถูกขังทุกราย โดยให้รวบรวมข้อมูลทุกอย่างสำหรับผู้ถูกขังแต่ละรายไว้ในสมุดประจำตัว
ทะเบียนผู้ถูกขังและสมุดประจำตัว ให้เป็นไปตามแบบที่ปลัดกระทรวงยุติธรรมประกาศกำหนด
ข้อ ๑๐ ในกรณีที่ผู้ถูกขังมีเด็กอายุต่ำกว่าสามปีซึ่งอยู่ในความดูแลของตนติดมาด้วยหรือในกรณีที่ผู้ถูกขังได้คลอดบุตรในสถานที่ขังและมีอายุยังไม่ถึงสามปี หากมีความจำเป็นที่ผู้ถูกขังต้องเลี้ยงดูเด็กหรือไม่มีผู้ใดจะเลี้ยงดูเด็กนั้น ผู้ดูแลสถานที่ขังจะอนุญาตให้เด็กนั้นอยู่ในสถานที่ขังภายในกำหนดเวลาไม่เกินสามเดือนก็ได้
ในกรณีที่ผู้ถูกขังมีเด็กอายุตั้งแต่สามปีขึ้นไปซึ่งอยู่ในความดูแลของตนติดมาด้วย หรือกรณีที่เด็กตามวรรคหนึ่งซึ่งไม่ได้รับอนุญาตจากผู้ดูแลสถานที่ขังให้อยู่ในสถานที่ขัง หรือกรณีที่เด็กอยู่ในสถานที่ขังครบตามกำหนดเวลาที่ผู้ดูแลสถานที่ขังอนุญาตตามวรรคหนึ่งแล้ว ให้ส่งเด็กนั้นไปยังหน่วยงานที่มีหน้าที่ให้การสงเคราะห์ คุ้มครองสวัสดิภาพ และพัฒนาฟื้นฟูเด็ก เพื่อดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ต่อไป
ข้อ ๑๑ ในกรณีที่ผู้ถูกขังมีอาการเจ็บป่วยหรือความผิดปกติของสภาพร่างกายให้ผู้ดูแลสถานที่ขังสอบถามอาการหรือความผิดปกติและจัดทำบันทึกในเบื้องต้น หากเห็นว่าจะต้องได้รับการรักษาเป็นพิเศษ ให้รีบจัดการให้ผู้ถูกขังได้รับการรักษาโดยเร็ว
ในกรณีที่ผู้ถูกขังตามวรรคหนึ่งมีความจำเป็นต้องได้รับการรักษานอกสถานที่ขัง ให้ผู้ดูแลสถานที่ขังนำตัวผู้ถูกขังไปรักษาพยาบาลยังสถานพยาบาลที่ใกล้เคียงได้ และให้รายงานต่อศาลซึ่งสถานที่ขังนั้นตั้งอยู่ในเขตอำนาจ
ข้อ ๑๒ ให้บุคคลต่อไปนี้มีสิทธิเข้าเยี่ยมหรือติดต่อผู้ถูกขังได้
(๑) บิดา มารดา ผู้ปกครอง ผู้อุปการะ และบุคคลอื่นที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิด
(๒) ครู อาจารย์ หรือนายจ้าง
(๓) ผู้มีหน้าที่จัดการตามหมายหรือคำสั่งของศาล
(๔) ทนายความของผู้ถูกขัง
(๕) บุคคลซึ่งได้รับอนุญาตจากผู้ดูแลสถานที่ขัง
ผู้ประสงค์จะเยี่ยมให้เข้าเยี่ยมได้ตามวัน เวลา และในระยะเวลาที่ผู้ดูแลสถานที่ขังกำหนดตามความเหมาะสม ในกรณีที่ทนายความของผู้ถูกขังประสงค์จะติดต่อกับผู้ถูกขังในเรื่องเกี่ยวกับคดีให้ผู้ดูแลสถานที่ขังอนุญาตให้ติดต่อได้ตามที่ผู้ดูแลสถานที่ขังกำหนด
ให้ผู้ดูแลสถานที่ขังกำหนดระยะเวลาในการเยี่ยมให้เหมาะสมเพื่อให้ผู้ขอเยี่ยมได้รับสิทธิอย่างทั่วถึง
ข้อ ๑๓ ให้ผู้ดูแลสถานที่ขังจัดให้มีเวรยามรักษาการณ์ เพื่อควบคุมดูแลผู้ถูกขังตลอดเวลาที่อยู่ในสถานที่ขัง
ข้อ ๑๔ ห้ามมิให้ใช้ตรวน กุญแจมือ กุญแจเท้า หรือโซ่ล่าม กับผู้ถูกขัง เว้นแต่
(๑) เป็นบุคคลซึ่งอาจจะทำอันตรายต่อชีวิตหรือร่างกายของตนเองหรือผู้อื่น
(๒) เป็นบุคคลวิกลจริตหรือจิตไม่สมประกอบอันอาจเป็นอันตรายต่อตนเองหรือผู้อื่น
(๓) เป็นบุคคลที่มีพฤติการณ์ว่าจะพยายามหลบหนีการขัง
(๔) เมื่อถูกคุมตัวไปนอกสถานที่ขังและผู้ดูแลสถานที่ขังเห็นเป็นการสมควรที่จะต้องใช้เครื่องพันธนาการ
(๕) เมื่อเป็นการจำเป็นจะต้องใช้ตรวน กุญแจมือ กุญแจเท้า หรือโซ่ล่าม เนื่องจากสภาพของสถานที่ขังหรือสภาพการณ์ของท้องถิ่น
ในกรณีที่ใช้ตรวน กุญแจมือ กุญแจเท้า หรือโซ่ล่าม ต้องใช้ตามความจำเป็นและได้สัดส่วนกับเหตุที่เกิดขึ้น
ข้อ ๑๕ กรณีผู้ถูกขังเป็นบุคคลวิกลจริต การผูกมัดร่างกาย หรือการแยกผู้ถูกขังจะกระทำไม่ได้ เว้นแต่กรณีมีเหตุจำเป็นเพื่อป้องกันอันตรายต่อผู้ถูกขังนั้นหรือผู้ถูกขังอื่นหรือทรัพย์สินของผู้อื่น
ข้อ ๑๖ ในระหว่างที่ผู้ถูกขังอยู่ในสถานที่ขัง หากพบว่ามีข้อเท็จจริงหรือพฤติการณ์เปลี่ยนแปลงไปหรือมีเหตุอันควรแก้ไขเปลี่ยนแปลงคำสั่งเกี่ยวกับการขัง ให้ผู้ดูแลสถานที่ขังรายงานข้อเท็จจริงดังกล่าวต่อศาลที่มีคำสั่ง
ข้อ ๑๗ ห้ามมิให้ผู้ถูกขังครอบครองหรือนำสิ่งของดังต่อไปนี้เข้าไปในสถานที่ขัง
(๑) เงินหรือทรัพย์สินมีค่าอื่น
(๒) เครื่องมือสื่อสารทุกชนิด
(๓) สารเสพติดหรือสารที่อาจก่อให้เกิดอาการมึนเมา
(๔) เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์
(๕) สิ่งตีพิมพ์หรือสื่อลามกอนาจารที่ยั่วยุให้เกิดอารมณ์ทางเพศ
(๖) อาวุธหรือสิ่งที่อาจใช้เป็นอาวุธหรืออาจก่อให้เกิดอันตรายหรืออัคคีภัย
(๗) วัสดุ อุปกรณ์ หรือสิ่งอื่นใดที่อาจนำไปใช้ในการก่อเหตุร้าย หรือกระทำการอันเป็นการฝ่าฝืนระเบียบหรือข้อบังคับของสถานที่ขัง
(๘) ยารักษาโรคทุกชนิด เว้นแต่ได้รับอนุญาตจากแพทย์หรือบุคลากรทางการแพทย์ สิ่งของต้องห้ามที่พบ หากเป็นสิ่งของตาม (๑) หรือ (๒) ให้ดำเนินการตามข้อ ๑๘ สิ่งของต้องห้ามอื่น
ให้ผู้ดูแลสถานที่ขังสั่งทำลายหรือดำเนินการตามความเหมาะสม
ข้อ ๑๘ ในขณะรับตัวผู้ถูกขัง ถ้าผู้ถูกขังมีเงิน ทรัพย์สินมีค่าอื่น หรือเครื่องมือสื่อสารติดตัวมาและมิได้มอบแก่บุคคลที่มาพร้อมกับผู้ถูกขัง ให้จัดทำบัญชีฝากทรัพย์สินดังกล่าวและแจ้งเงื่อนไข รวมทั้งการดำเนินการตามข้อ ๑๙ ให้ผู้ถูกขังทราบ พร้อมทั้งลงลายมือชื่อไว้เป็นหลักฐานและนำทรัพย์สินนั้นเก็บไว้ในสถานที่จัดเก็บให้ปลอดภัย เพื่อมอบคืนแก่ผู้ถูกขังในวันที่จำหน่ายออกจากสถานที่ขังหรือได้รับการปล่อยตัว
ข้อ ๑๙ ทรัพย์สินของผู้ถูกขังที่เก็บรักษาไว้จนกระทั่งภายหลังจำหน่ายออกจากสถานที่ขังหรือปล่อยตัวแล้ว หากไม่มารับคืนให้ดำเนินการ ดังต่อไปนี้
(๑) เสื้อผ้าหรือทรัพย์สินอื่นที่มีราคาไม่มาก หากผู้ถูกขังไม่มารับคืนภายในสามเดือน ให้ถือว่าไม่ประสงค์จะรับคืน และให้ทิ้ง ทำลาย จำหน่าย หรือพิจารณาดำเนินการตามความเหมาะสมต่อไป
(๒) เงิน ทรัพย์สินมีค่าอื่น หรือเครื่องมือสื่อสาร ให้พยายามติดต่อผู้ถูกขังมารับคืนไป หากไม่มารับคืนภายในห้าปี ให้ถือว่าไม่ประสงค์จะรับคืนและให้นำมาใช้เพื่อการสงเคราะห์ผู้ถูกขังรายอื่น
ข้อ ๒๐ กรณีมีเหตุอันควรสงสัยว่ามีการซุกซ่อนสิ่งของต้องห้ามตามข้อ ๑๗ ผู้ดูแลสถานที่ขังอาจสั่งให้มีการค้นตู้เก็บของของผู้ถูกขัง หรือสถานที่ที่อาจมีการซุกซ่อนสิ่งของต้องห้ามได้
การตรวจค้นตามวรรคหนึ่ง ต้องแจ้งเหตุผลและความจำเป็นให้ผู้ถูกขังทราบโดยให้ผู้ดูแลสถานที่ขังบันทึกรายละเอียดการตรวจค้นไว้ด้วย และในการตรวจค้นตู้เก็บของของผู้ถูกขังต้องให้ผู้ถูกขังนำตรวจค้น เว้นแต่ผู้ถูกขังขัดขืน ให้ผู้ดูแลสถานที่ขังดำเนินการตามความเหมาะสม
ข้อ ๒๑ กรณีมีเหตุฉุกเฉินอันอาจเป็นอันตรายต่อชีวิตหรือความปลอดภัยของผู้ถูกขังและไม่อาจขออนุญาตต่อศาลที่มีคำสั่งได้ ให้ผู้ดูแลสถานที่ขังย้ายผู้ถูกขังไปยังสถานที่ดังต่อไปนี้ได้ชั่วคราวจนกว่าเหตุฉุกเฉินนั้นหมดไป และให้ผู้ดูแลสถานที่ขังแจ้งให้ศาลที่มีคำสั่งทราบโดยไม่ชักช้า
(๑) สถานที่ขังอื่นที่ใกล้เคียงซึ่งมีสภาพคล้ายคลึงกัน หรือ
(๒) เรือนจำที่ใกล้เคียงในกรณีไม่มีสถานที่ขังอื่นที่ใกล้เคียงตาม (๑)
ข้อ ๒๒ ให้นำบทบัญญัติในหมวด ๑ ส่วนที่ ๑ สถานที่ขัง ส่วนที่ ๒ วิธีการควบคุม และส่วนที่ ๓ มาตรการเพื่อป้องกันการหลบหนีหรือความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น มาใช้บังคับแก่สถานที่ขัง วิธีการควบคุม และมาตรการเพื่อป้องกันการหลบหนีหรือความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นตามหมวดนี้ด้วยโดยอนุโลม
ข้อ ๒๓ ให้ผู้ดูแลสถานที่ขังจัดให้มีการบำบัดรักษาทางจิตแก่ผู้ถูกขังซึ่งวิกลจริตโดยจัดให้จิตแพทย์ตรวจวินิจฉัยความผิดปกติทางจิตและทำความเห็นเพื่อประกอบแนวทางในการบำบัดรักษา
ข้อ ๒๔ ให้ผู้ดูแลสถานที่ขังสอบถามผู้ถูกขังในเรื่องอาการเจ็บป่วยหรือความผิดปกติของสภาพร่างกายและจัดทำบันทึกในเบื้องต้น หากพบว่ามีอาการเจ็บป่วยหรือเห็นว่าจะต้องได้รับการรักษาเป็นพิเศษ ซึ่งจะต้องได้รับการรักษาโดยเร็ว ต้องรีบจัดการให้ผู้ถูกขังได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที
ในกรณีที่ผู้ถูกขังตามวรรคหนึ่งมีความจำเป็นต้องได้รับการรักษานอกสถานที่ขัง ให้ผู้ดูแลสถานที่ขังนำตัวผู้ถูกขังไปรักษาพยาบาลยังสถานพยาบาลที่ใกล้เคียงได้ และให้รายงานต่อศาลซึ่งสถานที่ขังนั้นตั้งอยู่ในเขตอำนาจ
ข้อ ๒๕ ให้ผู้ดูแลสถานที่ขังจัดให้มีการดูแลที่เหมาะสมกับสภาพของผู้ถูกขังซึ่งมีครรภ์และผู้ถูกขังซึ่งเพิ่งคลอดบุตร
ข้อ ๒๖ ในกรณีที่เป็นผู้ถูกขังซึ่งคลอดบุตรแล้วยังไม่ถึงสามปีและต้องเลี้ยงดูบุตรนั้น ให้ผู้ดูแลสถานที่ขังจัดให้ผู้ถูกขังและบุตรอยู่ด้วยกันในลักษณะที่ผู้ถูกขังสามารถเลี้ยงดูบุตรของตนได้ตามความเหมาะสม เว้นแต่เพื่อประโยชน์ทางการแพทย์หรือเพื่อประโยชน์สูงสุดของเด็กหรือเหตุอื่นที่มิอาจหลีกเลี่ยงได้ ผู้ดูแลสถานที่ขังจะจัดให้ผู้ถูกขังและบุตรอยู่แยกกันชั่วคราวจนกว่าเหตุยกเว้นนั้นหมดไปก็ได้ และให้ผู้ดูแลสถานที่ขังแจ้งให้ศาลที่มีคำสั่งทราบโดยไม่ชักช้า
ข้อ ๑ การเรียกประกันหรือหลักประกันในการปล่อยชั่วคราวผู้ต้องหาในชั้นสอบสวน ให้พนักงานสอบสวนหรือพนักงานอัยการกำหนดวงเงินประกันโดยนำหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กำหนดในข้อบังคับของประธานศาลฎีกาซึ่งออกตามความในมาตรา ๑๑๐ วรรคสาม แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาใช้บังคับโดยอนุโลม* ทั้งนี้ ห้ามมิให้พนักงานสอบสวนหรือพนักงานอัยการกำหนดวงเงินประกันเกินสามในสี่ของวงเงินประกันที่กำหนดในข้อบังคับของประธานศาลฎีกาดังกล่าว
ข้อ ๒ การใช้บุคคลเป็นประกันหรือการกำหนดให้หลักทรัพย์ใดเป็นหลักประกันในการปล่อยชั่วคราวผู้ต้องหาในชั้นสอบสวน ให้พนักงานสอบสวนหรือพนักงานอัยการนำหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขที่กำหนดในข้อบังคับของประธานศาลฎีกาซึ่งออกตามความในมาตรา ๑๑๐ วรรคสาม แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาใช้บังคับโดยอนุโลม*
ข้อ ๓ ให้ส่วนราชการที่พนักงานสอบสวนหรือพนักงานอัยการสังกัดประกาศและเผยแพร่กฎกระทรวงรวมทั้งแนวทางปฏิบัติในการเรียกประกันหรือหลักประกันให้ผู้ที่มาติดต่อและประชาชนได้ทราบโดยทั่วกัน
ข้อ ๑ ให้ยกเลิกกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่พนักงานสอบสวนต้องปฏิบัติในการจัดหาทนายความให้กับผู้ต้องหาซึ่งมีอายุไม่เกินสิบแปดปีในชั้นสอบสวน พ.ศ. ๒๕๔๔
ข้อ ๒ ในกฎกระทรวงนี้
“กระทรวง” หมายความว่า กระทรวงยุติธรรม
“ผู้แทนกระทรวงยุติธรรม” หมายความว่า
(๑) ในเขตกรุงเทพมหานคร ได้แก่ อธิบดีกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ
(๒) ในเขตจังหวัดอื่น ได้แก่ ข้าราชการสังกัดกระทรวงยุติธรรมที่ได้รับมอบหมายจากปลัดกระทรวงยุติธรรม
“ผู้แทนสภาทนายความ” หมายความว่า
(๑) ในเขตกรุงเทพมหานคร ได้แก่ นายกสภาทนายความ อุปนายกสภาทนายความ หรือกรรมการสภาทนายความที่ได้รับมอบหมายจากนายกสภาทนายความ
(๒) ในเขตจังหวัดอื่น ได้แก่ ประธานสภาทนายความจังหวัด รองประธานสภาทนายความจังหวัด หรือกรรมการสภาทนายความจังหวัดที่ได้รับมอบหมายจากประธานสภาทนายความจังหวัด
“ทนายความ” หมายความว่า ทนายความที่รัฐจัดหาให้ตามกฎกระทรวงนี้
“ผู้จัดหาทนายความ” หมายความว่า พนักงานสอบสวน ผู้แทนกระทรวงยุติธรรม หรือผู้แทนสภาทนายความ แล้วแต่กรณี
“บัญชี” หมายความว่า บัญชีรายชื่อทนายความตามกฎกระทรวงนี้
ข้อ ๓ ให้กระทรวงขอบัญชีบุคคลที่สามารถรับเป็นทนายความให้แก่ผู้ต้องหาในชั้นสอบสวนจากสภาทนายความภายในสามสิบวันนับแต่วันที่กฎกระทรวงนี้ใช้บังคับ เพื่อที่กระทรวงจะได้จัดส่งให้แก่ผู้จัดหาทนายความ
ในการจัดทำบัญชีตามวรรคหนึ่ง ให้ระบุเขตท้องที่และรายชื่อบุคคลที่จะรับเป็นทนายความในเขตท้องที่นั้น รวมทั้งที่อยู่ สถานที่ วิธีการที่จะติดต่อได้โดยสะดวกรวดเร็ว ลำดับหมายเลข และรายละเอียดอื่น ๆ ที่จำเป็นในการจัดหาทนายความ ทั้งให้มีจำนวนบุคคลที่เพียงพอต่อการจัดหาทนายความในเขตท้องที่นั้น ๆ โดยคำนึงถึงปริมาณคดีที่อาจจะเกิดขึ้นและระยะเวลาที่จะเดินทางไปถึงสถานที่ทำการของพนักงานสอบสวนได้โดยเร็วที่สุด
ข้อ ๔ ให้กระทรวงจัดส่งบัญชีให้แก่ผู้จัดหาทนายความโดยเร็ว โดยอาจแยกส่งไปเฉพาะบัญชีที่อยู่ในเขตท้องที่ที่รับผิดชอบของผู้จัดหาทนายความก็ได้
ให้ผู้จัดหาทนายความปิดประกาศบัญชีไว้ในที่เปิดเผยในสถานที่ทำการของตน
ข้อ ๕ ให้สภาทนายความปรับปรุงบัญชีตามที่กำหนดไว้ในข้อ ๓ เช่น แก้ไขเพิ่มเติมรายชื่อ ลำดับหมายเลข หรือรายละเอียดอื่น ๆ ให้เป็นปัจจุบันและให้ส่งบัญชีใหม่ต่อกระทรวงทุกหกเดือน เพื่อให้กระทรวงจัดส่งบัญชีใหม่ให้แก่ผู้จัดหาทนายความ
ถ้าผู้จัดหาทนายความเห็นว่ารายละเอียดในบัญชีไม่ครบถ้วนหรือไม่เพียงพอต่อการพิจารณาจัดหาทนายความให้แก่ผู้ต้องหา ก็อาจแจ้งให้กระทรวงทราบ เพื่อขอให้สภาทนายความพิจารณาเพิ่มเติมรายละเอียดในบัญชีให้ครบถ้วนก็ได้
ในการปรับปรุงหรือเพิ่มเติมบัญชีดังกล่าวให้กระทรวงจัดหาค่าใช้จ่ายให้สภาทนายความ
ข้อ ๖ ให้พนักงานสอบสวนจัดหาทนายความให้แก่ผู้ต้องหาจากบัญชีที่กระทรวงจัดส่งให้ตามลำดับหมายเลขของบัญชีที่จัดไว้สำหรับเขตท้องที่นั้น
ในกรณีที่ผู้ต้องหามีเหตุอันสมควรที่จะปฏิเสธไม่รับทนายความที่พนักงานสอบสวนจัดหาให้ หรือไม่มีทนายความในบัญชีเพียงพอที่จะจัดหาได้ ผู้ต้องหาหรือผู้ได้รับมอบหมายอาจร้องขอต่อผู้แทนกระทรวงยุติธรรมหรือผู้แทนสภาทนายความให้จัดหาทนายความให้ก็ได้ โดยผู้แทนกระทรวงยุติธรรม หรือผู้แทนสภาทนายความอาจจัดหาจากบัญชีตามวิธีการในวรรคหนึ่ง หรือจัดหาจากบุคคลอื่นที่เหมาะสม
ข้อ ๗ ทนายความที่จัดหาให้ตามข้อ ๖ อาจปฏิเสธไม่รับเป็นทนายความได้ในกรณี ดังต่อไปนี้
(๑) อยู่ในระหว่างการปฏิบัติหน้าที่ที่ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นทนายความของผู้ต้องหารายอื่น
(๒) เป็นผู้มีส่วนได้เสียหรือมีเหตุผลพิเศษที่อาจทำให้ตนไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างเต็มที่ หรือ
(๓) อยู่ห่างไกลโดยระยะทาง และไม่สามารถเดินทางมาปฏิบัติหน้าที่ได้ภายในเวลาอันสมควรหรืออาจทำให้เสียประโยชน์แก่ผู้ต้องหา